ทูตวัฒนธรรมโอเรียนท์ไทย ชวน ‘เที่ยวให้รู้ ’ ร่วมเรียนรู้คุณค่าและวิถีชีวิตท้องถิ่นไทย

13 May 2011

กรุงเทพฯ--13 พ.ค.--สายการบินโอเรียนท์ไทย

“ทูตวัฒนธรรมโอเรียนท์ไทย หัวใจไทย” โดยสายการบินโอเรียนท์ไทย นำตัวแทนเยาวชนจาก 4 ภาค ได้แก่ นภสร มานะกิจ ตัวแทนภาคเหนือ, อนัส สันโต๊ะโส้บ ตัวแทนภาคใต้, นิตสรา งาเกาะ ตัวแทนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ ธนวรรณ เถาว์มูล ตัวแทนภาคกลาง ร่วมเดินทางปฏิบัติภารกิจแรก ในโครงการ ‘โอเรียนท์ไทย...เที่ยวให้รู้’ เพื่อร่วมกันค้นหาและสะท้อนถึงเรื่องราวที่เต็มไปด้วยคุณค่าของความเป็นไทย ในทุกที่ที่ไป ทุกผู้คนที่พบและพูดคุย ทุกภาพสวยที่เห็น ได้สัมผัสวิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณี ซึ่งไม่ได้เป็นตำนานที่เล่าขานเท่านั้น เพราะว่านั้นคือความจริงที่เราต้องเที่ยวให้รู้...

มนัสนันท์ ตันติประสงค์ชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโอเรียนท์แอร์ไลน์ จำกัด กล่าวถึงที่มาของโครงการ ‘โอเรียนท์ไทย...เที่ยวให้รู้’ ว่า- -

“ เราริเริ่มดำเนินงานโครงการด้านเยาวชนและสังคมไทยควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมานานกว่า 7 ปี ภายใต้แนวคิด ‘ ทำให้ดีที่สุด (Do it by heart) ’ ทุกโครงการฯ สายการบิน โอเรียนท์ไทย มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของเยาวชน เพื่อนๆ และสังคมอื่นๆ ด้วยการดำเนินกิจกรรมด้านสังคมในรูปแบบต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้เอง ‘โอเรียนท์ไทย...เที่ยวให้รู้ ’ เป็นหนึ่งกิจกรรมที่สะท้อนแนวคิด ‘การคิดดี ทำดี’ ด้วยการสร้างคุณค่าร่วมไปกับสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าทั้งด้านจิตใจและวัตถุ โดยใช้ความเป็น ’ไทยแท้’ เข้ามาเป็นสาระหลักในการดำเนินเรื่อง เพื่อสะท้อนมุมมองให้เยาวชนรุ่นใหม่รักการเรียนรู้และค้นหาคุณค่าที่อยู่รอบๆ ตัวเอง เพราะเราเชื่อว่า ความหลากหลายมีอยู่ในสังคม ต่างคน ต่างความคิด ต่างสถานที่ ต่างความรู้ ต่างความเข้าใจ ต่างวัฒนธรรม และต่างประเพณี แต่ถ้าเราเปิดใจรับและเรียนรู้กับโอกาสและสิ่งใหม่ๆ คุณค่าและความงดงามนั้นๆ ย่อมเกิดขึ้นให้เห็นและสัมผัสได้ด้วยจิตใจและการลงมือทำ

” ตัวแทนทูตวัฒนธรรมทั้ง 4 ภาคจึงได้ร่วมเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่จุดหมายปลายที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอยและม่อนแจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่อากาศอบอุ่น ท้องฟ้าสดใส...

กิจกรรมแรกเริ่มที่โรงเรือนแปลงมะเขือเทศเชอร์รี่ โดยมี คุณสงกรานต์ ตามใจ เจ้าหน้าที่ส่งเสริมผัก ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย คอยให้การต้อนรับพร้อม สุรินทร์ นทีไพรวัลย์ ผู้ใหญ่บ้านหนองหอย ได้ร่วมอธิบายถึงความเป็นมาของโครงการพืชผัก ด้วยความสำนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

หลังจากที่ทูตวัฒนธรรมโอเรียนท์ไทยฯ ได้ซึมซับเรื่องราวและศึกษา พูดคุย และสัมผัสถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านแล้ว - -แจน-นภสร มานะกิจ ตัวแทนเยาวชนจากภาคเหนือ วัย 19 ปี ชั้นปี 1 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เล่าว่า ผืนดินแห่งนี้ในอดีตเคยเป็นไร่ฝิ่นมาก่อน แต่เมื่อปี 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรหมู่บ้านหนองหอย ทรงมีพระราชดำริว่า ควรจะมีการส่งเสริมการปลูกพืชเมืองหนาวแก่ชาวเขา เพื่อเป็นการหารายได้ทดแทนการปลูกฝิ่น ต่อมาในปี 2527 จึงได้มีการจัดตั้งศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอยขึ้น ในบริเวณตอนบนของลุ่มน้ำแรมและแม่สา ประกอบด้วยผู้อยู่อาศัยที่เป็นชาวเขาเผ่าม้งและลีซอ รวมทั้งคนเมืองและจีนฮ่ออีกด้วย ปัจจุบันศูนย์แห่งนี้เป็นแหล่งปลูกพืชเมืองหนาวที่สำคัญของมูลนิธิโครงการหลวง ซึ่งได้จำหน่ายไปทั่วประเทศ และส่งออกไปต่างประเทศ เช่นในแถบยุโรปอีกด้วย

“ผลสำเร็จของที่นี่ สะท้อนพระราชวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และด้วยพระราชปณิธานในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับราษฎร ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ในช่วงระยะเวลากว่า 60 ปีที่ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงวิริยะและมุ่งมั่นอย่างเต็มพระกำลัง แม้จะทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกาย เพื่อให้ชีวิตใหม่กับพสกนิกร

...ดีใจมากที่ได้มาสัมผัสชีวิตท้องถิ่นของที่นี่ ซึ่งชาวบ้านใช้ชีวิตที่เรียบง่าย เป็นกันเอง และเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว เราถามอะไรเขาจะบอกและให้ความรู้กับเราทุกอย่าง ทั้งแปลงพืชผักดูสดสวยงดงาม ไม่มีแมลงเลย รู้สึกดีใจแทนชาวบ้านในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงให้คำปรึกษาในการทำเกษตรกรรมที่สูง จนประสบความเสร็จ ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มมากขึ้นอยู่ดีกินดีมีสุข บางคนส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเลยนะคะ

...แจนจึงอยากจะให้ทุกคนหันมาช่วยกันรักษาธรรมชาติ จังหวัด ประเทศของเราไว้ เพราะธรรมชาติเป็นสิ่งที่สวยงาม และยังช่วยรักษาสภาพแวดล้อมของผืนดินไว้ด้วย”

ภายในศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย มีการทำไร่องุ่นไร้เมล็ด มีแปลงผัก และงานวิจัยพืชผักเมืองหนาว แปลงสมุนไพร แปลงผักไฮโดรโพนิค และแปลงปลูกผักแบบขั้นบันไดของชาวเขาเผ่าม้งและลีซอ ที่ปลูกผักมากกว่า 30 ชนิด โดยศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอยได้แนะนำให้เกษตรกรที่นี่ปลูกพืชเป็นขั้นบันได หรือคูรับน้ำขอบเขา เพื่อลดและชะลอการชะล้างหน้าดิน ทั้งยังปลูกหญ้าแฝกช่วยอนุรักษ์ดินและน้ำอีกด้วย

อนัส สันโต๊ะโส้บ ตัวแทนทูตวัฒนธรรมภาคใต้ วัย 20 ปี ชั้นปี 2 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ รู้สึกตื่นเต้นและทึ่งมากกับการปลูกพืชผักและกรรมวิธีการผลิตของที่นี่ที่ให้ผลผลิตเปี่ยมด้วยคุณภาพสูงและปลอดสารพิษ

“พืชผักเมืองหนาวที่ปลูกกันที่นี่ เช่น ผักกาดหอมห่อ ผักกาดหอมบัตเตอร์เฮด ผักกาดหวาน เบบี้คอส สวิสชาร์ด ฟิลเลย์ไอซ์เบิร์ก ชิโครี่ชัคเกอร์ฮัท แรดิชชิโอ วอเตอร์เครส อาติโช๊ค บล็อกโคลี่ คะน้าฮ่องกง แตงกวาญี่ปุ่น ซุกินี พริกหวาน เป็นต้น สำหรับแปลงผักไฮโดรโพนิค เช่น ผักกาดหอมโอ๊คลีฟเขียวและแดง ส่วนสมุนไพร เช่น เลมอนทาร์ ขมิ้น คาร์โมบายด์ โรสแมรี่, ไม้ผล เช่น ลูกพลัม องุ่นไร้เมล็ด และสตรอว์เบอร์รี่ เป็นต้น

...แต่ละอย่างน่าตาน่ารับประทานทั้งนั้น ทั้งสดทั้งสวย ล้วนให้คุณค่าสารอาหารมากมาย อย่างมะเขือเทศเชอร์รี่ ลูกเล็กๆ แต่หวาน กรอบ อร่อย หรือสตรอว์เบอร์รี่ราชินี แม้ลูกเล็กสีไม่แดงแปร๊ด แต่หวานอร่อยจริงๆ ครับ

...จึงอยากจะบอกน้องๆ เยาวชน หรือนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ทั่วไป เวลามาเที่ยวควรศึกษามาก่อน แล้วเราจะได้อะไรมากมาย นอกจากความสนุก แล้วจะได้ข้อคิดที่ดีๆ ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ และการได้มาสัมผัสที่นี่ ได้มาเจอเจอะพบผู้คนต่างถิ่นต่างวัฒนธรรมต่างมุมมอง ทำให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์จากเขา เราก็จะนำมาพัฒนาตนเองได้อีกเยอะ เพื่อที่จะเปิดโลกทัศน์ของเราได้มากขึ้น ทำให้เราอยากรู้อยากเห็น และพร้อมที่จะร่วมโครงการ ‘เที่ยวให้รู้’ ในทุกๆ ที่ เพราะเมืองไทยมีของดีมากมาย ที่น่าศึกษาและน่าค้นคว้า”

หลังจากนั้น อีกสองสาวทูตวัฒนธรรมหัวใจไทย ตัวแทนภาคกลางและตะวันออกเฉียงเหนือ พาขึ้นดอยม่อนแจ่ม ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ไม้เมืองหนาวนับร้อยชนิด แปลงปลูกสตรอว์เบอร์รี่ราชินีเต็มพื้นที่ ทั้งพันธุ์ไม้ดอกที่หลากสีสันหลากพันธุ์สวยสดงดงาม ภาพเบื้องหน้าเป็นวิวทิวทัศน์ของขุนเขาปกคลุมด้วยไม้ยืนต้นหลากพันธุ์ พร้อมเสียงหัวเราะหยอกล้อของเด็กๆ ชาวเขาที่ดูมีความสุขและสนุกสนาน นับเป็นภาพที่ใครได้มาสัมผัส ณ ที่นี่แห่งนี้คงยากจะลืมเลือน

นิว-นิตสรา งาเกาะ วัย 21 ชั้นปี 3 คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี บอกเล่าด้วยความตื่นเต้นว่า- -

“ตอนนี้พวกเรามายืนอยู่บนจุดชมวิวม่อนแจ่มแคมป์ปิ้งรีสอร์ท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย แล้วก็เป็นที่พักแห่งใหม่ของโครงการหลวง ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2552 นี้เองค่ะ

...อากาศที่นี่จะหนาวเย็นสบายตลอดทั้งปี ในวันที่อากาศแจ่มใส เราสามารถมองได้ไกลไปถึงดอยอินทนนท์ และดอยเชียงดาว เลยทีเดียวค่ะ และหากจะมาเที่ยวสัมผัสธรรมชาติให้ชุ่มฉ่ำหัวใจ ขอแนะนำว่าควรพักค้างแรม เพราะที่นี่จัดทำเป็นเต็นท์แนว ‘แคมป์ปิ้งรีสอร์ท’ เพื่อความกลมกลืนและรักษาธรรมชาติไว้ให้ได้มากที่สุด และภายในเต็นท์ก็จะมีสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นไว้อย่างครบครัน ซึ่งหากพักที่นี่ 2 คนราคา 700 บาท, 3 คน 1,000 บาท, 4 คนราคา 1,400 บาท และควรจองล่วงหน้า 1 วัน ที่เบอร์ 0 53810 765 ต่อ 108 ได้เลยค่ะ

...การได้มาสัมผัสที่นี่คุ้มค่ามากค่ะ เพราะปกติการมาสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป เราจะได้ชื่นชมกับธรรมชาติที่สวยงาม แต่ที่นี่เราได้ซึมซับถึงความเป็นมา และได้เรียนรู้ถึงสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่เรียบง่ายแต่เป็นสุข ทั้งได้เรียนรู้ว่าทำไมต้นไม้แต่ละชนิดจึงต้องมาปลูกในที่อย่างนี้ และอีกหลายมุมมองที่ทำให้เราได้ผ่อนคลายและได้รับความรู้มากมาย ได้เรียนรู้สัมผัสถึงความเป็นไทยแท้ๆ ซึ่งมีความหมายกับชีวิตเรา จึงอยากเชิญชวนให้ทุกคนมาร่วมกันค้นหาและเที่ยวให้รู้อย่างคุ้มค่า ณ ที่แห่งนี้ค่ะ”

ทุกคนต่างปฏิบัติภารกิจกันเต็มที่ ทั้งเหนื่อยทั้งหิวแต่สีหน้ายังปลื้มและเปี่ยมด้วยความสุขกันถ้วนหน้า หากแต่เบื้องหน้าเป็นร้านอาหารที่ดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา ฝ้าย-ธนวรรณ เถาว์มูล วัย 21 ปี ชั้นปี 3 คณะวารสารและสื่อสารมวลชน สาขาวิทยุและโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงชักชวนเพื่อนๆ มาลิ้มลองความอร่อย ด้วยพืชผักในโครงการหลวง ถึง 5 เมนูด้วยกัน คือ ไข่เจียวสมุนไพร, กุ่ยช่ายหมูกรอบ, สลัดผักและดอกไม้ และชาร้อนสมุนไพรสด เสิรฟพร้อมของหวาน ‘สโคน’

“ ร้านอาหารของที่นี่เสิร์ฟทั้งอาหารไทยและนานาชาติ ที่รับประกันความอร่อยด้วยผักสดๆ หวานกรอบจากโครงการหลวงมาทำให้พวกเรากินกัน เมนูแรก ไข่เจียวสมุนไพร มีส่วนประกอบของพาสเล่ย์อิตาเลี่ยน วาเลนเดอร์ และโรสแมรี่ ตามด้วย กุ่ยช่ายหมูกรอบ นำผักกุ่ยช่ายสดๆ จากแปลงและมะเขือเทศพันธุ์โทมัส มาปรุงเป็นส่วนผสม จานต่อมาเป็น สลัดผักและดอกไม้สีสันสดใส เป็นผักโฮโดรโพนิก ผักกาดหอมโอ๊คลีฟแดงและเขียว สวิสชาร์ด บัตเตอร์เวียร์ เบบี้ครอส ผักกาดหวาน ผักกาดหอมบัตเตอร์เฮด และสตรอว์เบอร์รี่ออร์แกนิก แล้วแต่งแต้มสีสันด้วยดอกไม้ ดอกแพนซี่ เนสเตเตียม จานนี้สีสันน่ารับประทานจริงๆ ค่ะ

...ชาร้อนสมุนไพรสด หอมกรุ่น กลิ่นสดชื่นโล่งจมูกด้วยส่วนประกอบจาก มินต์อเมริกา เลมอนทาร์ เลมอนปาล์ม ชาหอม ดอกคาร์โมมายด์ เจแปนิส และหญ้าหวาน ชาร้อนเพื่อสุขภาพนี้ เหมาะกับโรคเบาหวาน และช่วยในเรื่องระบบหายใจ ทำให้ชุ่มคอ ลมหายใจสดชื่น ช่วยผ่อนคลาย และนอนหลับง่าย และเมนูสุดท้าย สโคนเสิร์ฟพร้อมวิปปิ้งครีมและสตรอว์เบอร์รี่สด น่าตาน่าลิ้มลอง...อั้ม! อร่อยบอกใคร! ยกนิ้วให้เลยค่ะ

...วันนี้มีความสุขมากเลยค่ะ มาที่นี่ไม่ใช่เป็นการเที่ยวให้สนุกสนานเพลิดเพลินอย่างเดียวเท่านั้น ให้ทั้งสาระและประโยชน์มากมายในแต่ละสถานที่ที่เราไป ซึ่งไม่เคยเที่ยวอย่างนี้มาก่อน ได้มาเรียนรู้ได้มาสัมผัสถึงแหล่งเพาะปลูกพืชพันธุ์ต่างๆ ทั้งวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขาในท้องถิ่นที่ใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับความเป็นอยู่กับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติอย่างแท้จริง

...กลับไปคงต้องไปบอกต่อ คงเริ่มจากคนใกล้ชิดก่อน คือครอบครัว ว่าสิ่งที่เราได้มา รู้สึกดีใจและชอบประทับใจมากๆ จึงอยากจะบอกเพื่อนๆ วัยรุ่น หรือวัยไซเบอร์ เฟซบุ๊ก ทั้งหลาย อย่าเพลิดเพลินกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจอ ณ ที่แห่งนี้มีสิ่งให้เราค้นหาและมีประโยชน์มหาศาลอีกมากมาย มาเที่ยวกันเยอะๆ นะคะ

...รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงของเรามาก พระองค์ทรงสร้างชีวิตใหม่ให้กับพวกชาวเขาให้มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และพวกเขาได้ผลิตสิ่งดีๆ เป็นประโยชน์ให้กับคนอื่นๆ ซึ่งส่งผลดีต่อทุกคนที่เกี่ยวข้องอีกด้วย” ทั้งหมดคือการเดินทางที่ได้รู้ ‘เที่ยวให้รู้’ ได้คุณค่ามากมายอย่างไม้รู้จบ หากเปิดใจรับและเรียนรู้ คุณค่าก็เกิดขึ้นจริงได้ แล้วแปรเปลี่ยนมาเป็นประสบการณ์ ทำให้ได้พัฒนาและเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพต่อไป

เผยแพร่ข่าวในนาม : สายการบินโอเรียนท์ไทย โทร. 02 229 4260 # 341, 344

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net