กรุงเทพฯ--20 ธ.ค.--สายการบินโอเรียนท์ไทย
โอเรียนท์ไทยสานต่อโครงการกิจกรรมรักเมืองไทย ‘โครงการ Orient Thai, We love Thailand’ เพื่อสะท้อนถึงคุณค่าของความเป็นไทยและอานุภาพแห่งพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช และ ‘สมเด็จย่า’ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ต่อการฟื้นฟูผืนป่าธรรมชาติและฟื้นฟูสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรไทยและชาวเขาให้ดีขึ้น ที่มีตำนานเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ความเป็นมาของพืชพันธุ์แสนสวยที่มีอิทธิพลต่อมวลมนุษยชาติทั่วโลก ณ ‘หอฝิ่น’ อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ จังหวัดเชียงราย
มนัสนันท์ ตันติประสงค์ชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโอเรียนท์ไทย แอร์ไลน์ จำกัด กล่าวถึงกิจกรรมแรกของโครงการว่า- - “สายการบินโอเรียนท์ไทยตระหนักถึงความสำคัญของกิจกรรมส่งเสริมคุณค่าเพื่อสังคม โดยเราได้ดำเนินการมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้จัดทำ ‘ โครงการ Orient Thai, We love Thailand ’ สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อให้คนไทยได้ย้อนคิดและมองเห็นถึงคุณค่าและวัฒนธรรมของไทย เพื่อยกระดับคุณภาพทั้งด้านจิตใจและการลงมือทำ สังคมและประเทศไทยของเรามีเรื่องราวสำคัญๆ มากมายให้เรียนรู้ ให้เลือกนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ เรียนรู้จากอดีต เพื่อปัจจุบันและอนาคตที่ดีได้ สังคมที่ดีเกิดขึ้นได้ จากความรัก ความร่วมมือ การแบ่งปัน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความช่วยเหลือเกื้อกูล และการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขภายใต้ฟ้าเดียวกัน ฟ้าของเมืองไทยนั่นเอง ...โครงการนี้ จะมีกิจกรรมอีกอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องของคุณค่าและวัฒนธรรมของไทย ซึ่งครั้งนี้เริ่มที่ภาคเหนือ จ.เชียงราย ก่อน ที่ ‘หอฝิ่น’ ณ อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพราะที่นี่มีสิ่งที่น่าศึกษาและค้นคว้าเรื่องราวในอดีตกว่า 5,000 ปี ที่ทั้งคนทั่วไป นักท่องเที่ยว หรือนักเรียน-นักศึกษา เยาวชนคนรุ่นใหม่ควรที่จะได้ศึกษา เพื่อจะนำไปเป็นข้อคิดในการที่จะดำเนินการใช้ในชีวิตประจำวันได้ เพราะจะได้ทั้งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และที่สำคัญเรื่องราวของพิษภัยจากการตกเป็นทาสยาเสพติดจะมีผลร้ายต่อคุณภาพชีวิตอย่างไร” ณ หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ ดินแดงสามเหลี่ยมทองคำแห่งนี้ มีพรมแดนประเทศไทย ลาว และพม่า มาบรรจบกัน มีแม่น้ำรวกไหลมารวมกับแม่น้ำโขง เทือกเขาปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก ภาพของป่าเบญจพรรณร่มครึ้ม ทั้งการปลูกและการค้าฝิ่นนั้น เป็นภาพที่ไม่ดีนักและมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ โครงการหลวงจึงได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2512 เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นถึงปัญหาการปลูกฝิ่นของชาวเขา โดยปลูกพืชอื่นที่ขายได้ราคาดี และมีความเหมาะสมที่จะปลูกในที่สูงแทนการปลูกฝิ่น และเพื่อมุ่งหวังให้ชาวเขาทำมาหากินอยู่กับที่ เลิกทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งจะทำให้หยุดยั้งการทำลายป่าลงได้ นอกจากนั้น ไม้ยืนต้นเหล่านี้ ก็ยังให้ประโยชน์ในแง่ของการอนุรักษ์ดินและน้ำ เหมือนกับเป็นการทดแทนป่าไม้อีกด้วย
“ต่อมาปี 2531 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ทรงเริ่มโครงการพัฒนาดอยตุงขึ้นในจุดเหนือสุดของประเทศไทย โดยโครงการนี้มีจุดหมายที่จะคืนผืนป่าและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ และหยุดการปลูกและการเสพฝิ่นในดินแดนแห่งนี้ ได้ทรงริเริ่มโครงการที่จะช่วยให้การศึกษาแก่ประชาชนในเรื่องของการศึกษาประวัติของฝิ่นในดินแดนสามเหลี่ยมทองคำและทั่วโลก เพื่อปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนร่วมกันต่อสู้ยาเสพติด ให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า ยาเสพติดประเภทต่างๆ ไม่เฉพาะก่อให้เกิดปัญหากับประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังสร้างปัญหาให้กับประชากรและสังคมโลกโดยรวมอีกด้วย การริเริ่มโครงการในพระราชดำริในครั้งนั้น ส่งผลสืบเนื่องให้เกิด หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ นั่นเอง” ประเสริฐ เทพอินถา ผู้จัดการอุทยานสามเหลี่ยมทองคำ บอกเล่า พร้อมเปิดประตูสู่โลกอันลึกลับของพืชพันธุ์แสนสวยชนิดนี้ หอฝิ่นแห่งนี้ เริ่มทำการก่อสร้างเมื่อปี 2542 – 2545 โดยใช้งบการก่อสร้างตัวอาคารและตกแต่งภายในเป็นเงิน 9.5 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา หรือราว 358 ล้านบาท ซึ่งเปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2546 และทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธที่ 6 กรกฎาคม 2548 เรื่องราวต่างๆ ได้เริ่มตั้งแต่อุโมงค์ที่มืดสนิท ดูลึกลับที่มีความยาว 137 เมตร แสดงภาพของผู้คนที่กำลังทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสจากการตกเป็นเหยื่อของความชั่วร้ายของฝิ่นและสิ่งเสพติด โดยประวัติการแพร่กระจายของฝิ่นได้เริ่มต้นจากการค้าสมัยจักรวรรดินิยม เหตุการณ์พลิกประวัติศาสตร์ที่สร้างความอดสูแก่ผู้ชนะและผู้แพ้ และสงครามฝิ่นอันนำไปสู่การล่มสลายของราชวงค์แมนจู ความชาญฉลาดของประเทศสยามในการเผชิญกับมหาอำนาจตะวันตกและการควบคุมปัญหาฝิ่น ยาเสพติดเริ่มใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันในรูปแบบของยามหัศจรรย์ โดยหอฝิ่นได้นำเสนอเรื่องราว การจัดลำดับและเนื้อหาอย่างเป็นขั้นตอน เข้าใจง่าย ประกอบด้วยแสง สี เสียง เทคนิคต่างๆ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ ตลอดจนการแสดงอุปกรณ์การสูบและขายฝิ่น ซึ่งได้รวบรวมจากหลายประเทศทั่วโลก จนทำให้ผู้ชมนิทรรศการนี้เข้าสู่มิติหนึ่งของกาลเวลาสู่การเรียนรู้และชวนขบคิดย่างแท้จริง แล้วท้ายสุด สู่ ห้องคิดคำนึง (HALL OF REFLECTION) เพื่อให้ผู้ชมได้มีโอกาสที่ได้อยู่กับตัวเองและตั้งคำถามเกี่ยวกับประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้รับจากการชมนิทรรศการทั้งหมด พร้อมมีคำคมดีๆ ให้คิดและศึกษา ซึ่งที่นี่คาดหวังว่านักท่องเที่ยวแต่ละท่านที่ได้เข้ามาสัมผัส หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ จะก้าวออกจากนิทรรศการแห่งนี้ไปด้วยความรู้สึกที่ปรารถนาจะมีส่วนร่วมในอันที่จะแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป “ เป้าหมายของหอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ คือการลดความต้องการสารเสพติด หมายถึง เป็นสถานศึกษา มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงมีความประสงค์ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกโดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน โดยพยายามที่จะให้คนทั่วโลกเข้าใจและมีความเห็นพ้องต้องกันที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหายาเสพติดให้หมดไป ขณะที่ปัญหาเกิดจากผู้ผลิตที่เราพบได้ง่ายในบริเวณที่ประเทศที่กำลังพัฒนาจะต้องช่วยกันหยุดความต้องการของผู้ใช้และผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ให้หมดสิ้นไป ” ผู้จัดการอุทยานสามเหลี่ยมทองคำ กล่าว หอฝิ่นแห่งนี้ ได้รับรางวัล PATA Gold Award ในสาขาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้จากสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (PATA) ในปี 2547 และรางวัลดีเด่นในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเพื่อนันทนาการ (The 6 th Thailand Tourism Award 2006 ) จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เมื่อปี 2549 นอกจากนี้ ยังเป็นที่กล่าวขวัญว่า เป็นนิทรรศการที่จัดแสดงได้ดีที่สุดแห่งของประเทศไทยและเอเชียอีกด้วย
ณ ที่นี้ จึงมิได้เป็นเพียงแหล่งเรียนรู้ที่ให้ข้อคิดเท่านั้น หากยังเป็นสื่อสัญลักษณ์สะท้อนอานุภาพแห่งพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ ที่ทรงห่วงใยประชาชาติ และราษฎรไทยที่ต้องเผชิญภัยคุกคามจากยาเสพติด และได้ทรงทุ่มเทความพยายามแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง กระทั่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติและองค์การสหประชาชาติ (United Nation Office on Drugs and Crime ) หรือ UNODC ได้ลบชื่อประเทศไทยออกจากรายนามประเทศที่มีการปลูกฝิ่นติดอันดับโลก ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา
โอเรียนท์ไทย จึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมย้อนร่องรอยประวัติศาสตร์ ณ หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ แห่งนี้ ดินแดนของการต่อสู้เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ชีวิตที่มีทั้งวัฒนธรรมและประเพณี ชีวิตที่มีธรรมชาติ หากจะมาเป็นครอบครัว หรือกลุ่มก๊วน กลุ่มนักเรียน-นักศึกษา ตลอดเดือนธันวาคมนี้จนถึงมกราคม 2554 ได้ทุกวัน ในราคาคนไทย 150 บาท ต่างชาติ 200 บาท พร้อมมีบริการที่พักในบรรยากาศสบายๆกับ เกรทเธอร์แม่โขงลอด์จ สนใจติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. (053) 784 444 6, (053) 652 151 Email : [email protected] หรือ www.maefahluang.org
เผยแพร่ข่าวในนาม : สายการบินโอเรียนท์ไทย โทร. 02 229 4260 # 341, 344
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit