กรุงเทพฯ--12 พ.ย.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
บลจ.บัวหลวง เดินหน้าเพิ่มทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอนหรือ TFUND รอบ 3 ระดมทุน 2.4 พันล้านบาท เพิ่มผลประโยชน์ให้ผู้ถือหน่วยเต็มที่เพื่อต่อสู้ภาวะเศรษฐกิจ เผยเข้าลงทุนในกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมโรงงาน 40 แห่ง รวมพื้นที่กว่า 1 แสนตร.ม. และอาคารคลังสินค้าอีก 10 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 3.6 หมื่น ตร.ม. ระบุหลังขยายการลงทุนรอบใหม่ส่งผลขนาดกองทุนเพิ่มทะลุ 8 พันล้านบาท มั่นใจจุดเด่นสินทรัพย์แข็งแกร่ง ด้วยอัตราเช่าปัจจุบันที่สูงถึง 97% ที่ผ่านมาสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยได้สม่ำเสมอปีละ 4 ครั้ง ในอัตราประมาณ 0.20บาทต่อไตรมาส และยังเป็นกองทุนที่มีสภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ดีสำหรับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำหรับการเพิ่มทุนครั้งที่ 3 เตรียมเสนอขาย 237 ล้านหน่วย จัดสรรผู้ถือหน่วยเดิม 141.25 ล้านหน่วย และ PO อีก 95.75 ล้านหน่วย ระหว่าง 25 พ.ย.ถึง 2 ธ.ค. 2551 ในราคาเสนอขายหน่วยละ 10.25 บาท
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.บัวหลวง กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอนหรือ TFUND จำนวน 237 ล้านหน่วย ซึ่งจะจัดสรรให้กับผู้ถือหน่วยเดิมในอัตรา 1 ต่อ 0.25 หน่วย เป็นจำนวน 141.25 ล้านหน่วย และจัดสรรให้แก่ประชาชนทั่วไป (PO) อีก 95.75 ล้านหน่วย ในราคาเสนอขายหน่วยละ 10.25 บาท คิดเป็นมูลค่าการระดมทุน 2,429.25 ล้านบาท โดยจะเสนอขายในระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายนถึง 2 ธันวาคมนี้
สำหรับการระดมทุนครั้งนี้ นับเป็นการเพิ่มทุนครั้งที่ 3 ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ไทคอน โดยจะเข้าลงทุนในที่ดินและสินทรัพย์ของบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON ซึ่งประกอบด้วย โรงงานมาตรฐานจำนวน 40 แห่ง คิดเป็นพื้นที่โรงงาน รวม 100,343 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในบริเวณนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรมและเขตส่งเสริมอุตสาหกรรม 7 แห่ง ส่งผลให้จำนวนโรงงานที่ TFUND เข้าลงทุนเพิ่มจาก 130 โรงงานเป็น 170 โรงงาน โดยมีพื้นที่หลังการเพิ่มทุนรวม 384,350 ตารางเมตร นอกจากนี้ ยังจะลงทุนในที่ดินและอาคารคลังสินค้าของบริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด ซึ่งเป็นอาคารคลังสินค้ามาตรฐาน 10 โรง พื้นที่อาคารรวม 36,625 ตารางเมตร ตั้งอยู่ใน โลจิสติคส์ พาร์คของ TICON บริเวณถนน บางนา - ตราด กม. 39
กรรมการผู้จัดการ บลจ.บัวหลวง กล่าวเพิ่มเติมว่า การเพิ่มทุนในครั้งนี้จะส่งผลให้ขนาดของ TFUND เพิ่มขึ้นจาก 5,770.25 ล้านบาทเป็น 8,199.50 ล้านบาท ซึ่ง บลจ.บัวหลวง มั่นใจว่าการเสนอขายหน่วยลงทุนจะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจากคุณภาพของอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าไปลงทุน ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเช่าสูงถึง 97% มีการกระจายตัวของผู้เช่าทั้งสัญชาติและประเภทอุตสาหกรรม กระจายอยู่ในเขตอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ
ด้านนายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ดำเนินการพัฒนาโรงงานให้เช่าที่มีรูปแบบเป็นโรงงานเดี่ยวมาตรฐานมากกว่า 300 โรง และคลังสินค้าอีกกว่า 30 โรง โดยโรงงานดังกล่าวตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมและสวนอุตสาหกรรมในประเทศไทย 13 แห่ง และคลังสินค้าในเขตอุตสาหกรรม โลจิสติคส์ 3 แห่ง ในส่วนของโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้าที่ TFUND จะเข้าไปลงทุนในครั้งนี้ส่วนใหญ่ค่อนข้างใหม่และทันสมัย โดยมีอายุเฉลี่ยน้อยกว่า 4 ปี ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของ ผู้เช่าได้เป็นอย่างดี
“กลุ่มลูกค้าหลักของเรายังเป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ ยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีเทคโนโลยีการผลิตสูง ขณะที่อุตสาหกรรมหลัก ยังคงเป็นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมทั้งกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นสินค้าจำเป็นในชีวิตไปแล้ว และถึงแม้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งอาจทำให้ยอดสั่งซื้อสินค้าลดลงบ้าง แต่โรงงานก็ยังคงผลิตสินค้าเพื่อเป็นอุปกรณ์ทดแทนหรืออะไหล่อยู่ดี นอกจากนี้การเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกอาจกลายเป็นโอกาสให้ประเทศไทยได้ก้าวสู่ประเทศที่เป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลกได้ เนื่องจากเจ้าของสินค้าและผู้ผลิตรายใหญ่จำเป็นต้องหาฐานการผลิตที่มีต้นทุนการผลิตต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูง และประเทศไทยมีคุณสมบัติดังกล่าวอยู่ครบ ทั้งนี้นับแต่เกิดปัญหาซับไพร์มในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปลายปี 2550 อัตราการเช่าโรงงานของ TFUND ยังไม่เปลี่ยนแปลง และจากประสบการณ์ของ TICON ที่ผ่านมาเช่นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540-2542 ปรากฎว่ามีความต้องการเช่าโรงงานเพิ่มขึ้นมากเนื่องจากผู้ประกอบการต้องการลดความเสี่ยงในการดำเนินงานโดยเลือกที่จะเช่าโรงงานแทนการสร้าง หรือซื้อโรงงาน ดังนั้น TFUND น่าจะได้รับผลกระทบในทางลบค่อนข้างน้อยจากวิกฤติครั้งนี้” นายวีรพันธ์กล่าว
ขณะที่ นายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจำหน่าย กล่าวว่า ต้องยอมรับว่า ในสถานการณ์ที่การลงทุนในตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง ขณะที่ผลตอบแทนจากตราสารหนี้อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งแม้ปัจจุบันได้มีการปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็เป็นการปรับตัวตามความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากสภาวะเศรษฐกิจ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จึงนับได้ว่า เป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจโดย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อรับเงินปันผล ไม่มีภาระหนี้สินจากการกู้ยืมเลยจึงไม่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ โดยกองทุน TFUND ยังมีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดีอย่างสม่ำเสมอ ที่ผ่านมาสามารถจ่ายเงินปันผลได้ปีละ 4 ครั้ง ในอัตราประมาณ 0.20 บาทต่อไตรมาส ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับราคา TFUND ที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงเวลาที่มีการประกาศจ่ายเงินปันผลแต่ละครั้งในอดีต ทั้งนี้เมื่อนับจากวันที่ 30 มิถุนายน 2548 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2551 กองทุนได้จ่ายเงินปันผลเป็นรายไตรมาสรวมแล้ว 14 ครั้ง ขณะเดียวกันราคาตลาด TFUND มีความผันผวนน้อยกว่าดัชนีตลาดฯ และเป็นกองทุนรวมอสังหาฯที่มีสภาพคล่องสูงโดยมีมูลค่าการซื้อขายต่อวันเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีสูงติด 1 ใน 3 ของกองทุนรวมอสังหาฯ ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
นอกจากนี้ TFUND ยังมีจุดเด่นอยู่ที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสินทรัพย์ที่เข้าไปลงทุน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าให้เช่า ซึ่งในระยะยาวยังมีโอกาสในการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งค่าเช่าที่ปรับตัวขึ้น และมูลค่าเพิ่มจากราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งการบริหารจัดการสินทรัพย์ภายใต้การดูแลของมืออาชีพ ที่มีประสบการณ์ยาวนานอย่าง บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค ยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับ นักลงทุนได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
สำหรับผู้สนใจจองซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือโทร. 1333 บลจ. บัวหลวง โทร.0-2674-6488 กด 8 บล. บัวหลวง โทร 0-2231-3777 และ บล.ภัทร โทร.0-2305-9020
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (ในนามกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน)
อรอนงค์ ภัทรเวชกุล (ฟ้า) โทร. 086-884-4458 , 02-248-7967-8
E-mail : [email protected] , [email protected]