คอนติเนนตอล เอจี เผยผลสำรวจทั่วโลก ยานยนต์ไฮบริดและยานยนต์ใช้ไฟฟ้ามาแรง

กรุงเทพฯ--9 ธ.ค.--พีอาร์ แอนด์ แอสโซซิเอส

ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นคือสาเหตุของความเปลี่ยนแปลงในแนวคิดด้านยานยนต์ เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ขับขี่ในเมืองต้องการยานยนต์ที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า การยอมรับยานยนต์ไฮบริดเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลของประเทศนั้นๆ ออกมาตรการมาสนับสนุน เกือบสองในสามของผู้ขับขี่ในระยะทางสั้นๆ หรือในการจราจรในเมืองคือลูกค้าที่มีศักยภาพของยานยนต์ไฮบริด เมื่อเร็วๆ นี้บริษัทวิจัย ทีเอ็นเอส/อินฟราเทสท์ โดยการสนับสนุนของคอนติเนนตอล เอจี ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิ้นส่วนของโลก ได้สำรวจความคิดเห็นของกลุ่มนักขับขี่รถยนต์ 8,000 คนทั่วโลกในตลาดยานยนต์ที่สำคัญ 8 ประเทศ (ประเทศละ 1000 คน) ได้แก่ ประเทศจีน เยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ ญี่ปุ่น ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา โดยการสำรวจจะเน้นถึงการรับรู้ข้อมูลและความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อการขับขี่เครื่องยนต์ไฮบริด พฤติกรรมการขับขี่ และความคิดเห็นที่มีต่อยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า จากการสำรวจ พบว่ารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและรถยนต์ระบบไฮบริดได้รับการยอมรับในหมู่นักขับขี่ทั่วโลก โดย 36 เปอร์เซ็นต์ ของกลุ่มตัวอย่างเต็มใจซื้อรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริด ที่น่าทึ่งก็คือ 45.8 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างมีความสนใจซื้อรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ทั้งนี้แรงจูงใจมาจากสองเหตุผลหลักคือ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น “แนวโน้มที่ค้นพบมีความสำคัญสำหรับ คอนติเนนตอล เอจี ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์และเป็นเจ้าของเทคโนโลยียานยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อม” ดร คาร์ล โทมัส นิวแมน กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ คอนติเนนตอล เอจี กล่าว ทั้งนี้ผลสำรวจชี้ชัดว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นผลักดันให้ผู้ขับขี่ 45 เปอร์เซ็นต์เปลี่ยนพฤติกรรมมาหาวิธีขับขี่ที่ประหยัดน้ำมัน โดยกลุ่มผู้ขับขี่ชาวญี่ปุ่นเปลี่ยนพฤติกรรมมากที่สุดที่ 62.6 เปอร์เซ็นต์ ชาวเยอรมัน 55.2 เปอร์เซ็นต์ และชาวอเมริกัน 42.8% ขณะที่ชาวอังกฤษและจีนเป็นข้อยกเว้น โดย 60% ไม่มีการเปลี่ยนพฤติกรรมเลยแม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์น้ำมันแพงก็ตาม นอกจากนี้ ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า การรับรู้เรื่องระบบขับเคลื่อนทางเลือกนั้นแตกต่างกันมากทั่วโลก โดยหนึ่งในห้าของผู้ขับขี่จะคิดถึงการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด ซึ่งหมายถึงการใช้พลังงานร่วมของน้ำมันเชื้อเพลิงและไฟฟ้าเป็นอย่างแรก ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นรู้จักระบบนี้ดีที่สุด จำนวน 46.9 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่คนอังกฤษต้องติดตามข่าวสารเรื่องนี้มากที่สุดเพราะมีเพียง 3.9 เปอร์เซ็นต์ที่ทราบเรื่องไฮบริด เช่นเดียวกับผู้ขับขี่ชาวอเมริกันที่รู้เรื่องไฮบริดน้อยเช่นกัน ที่ 6.6 เปอร์เซ็นต์ ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภครับรู้เรื่องรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าล้วนๆ เป็นที่สองรองจากไฮบริด ในภาพรวมมีเพียง 16.8 เปอร์เซ็นต์ โดยคนออสเตรียนรับรู้เรื่องรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 33.3 เปอร์เซ็นต์ และคนฝรั่งเศส 31.7 เปอร์เซ็นต์ โดยที่คนทั้งสองชาติเอ่ยถึงรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่ารถยนต์ไฮบริด และเมื่อถามถึงรถยนต์ที่ประหยัดพลังงาน ทั้งสองชาตินึกถึงรถยนต์ดีเซล (14.1 เปอร์เซ็นต์) และรถยนต์ใช้แก๊สธรรมชาติ (11.4%) ขณะที่เป็นที่น่าสังเกตว่า มีคนจีนที่ไม่ทราบเรื่องการขับขี่ที่ประหยัดพลังงานเลยถึง 81.7 เปอร์เซ็นต์ ดร. นิวแมน กล่าวถึงข้อได้เปรียบของรถยนต์ไฮบริดเมื่อเทียบกับการขับรถยนต์แบบเดิมว่า ผู้ขับขี่ในเมืองหรือขับขี่ระยะทางสั้นๆ จะสามารถลดความสิ้นเปลืองด้านเชื้อเพลิงได้มากกว่าถึง 25 เปอร์เซ็นต์หากใช้รถยนต์ไฮบริด และยังลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อีกด้วย โดยรถยนต์ไฮบริดน่าจะมีอนาคตมากในอเมริกา ซึ่งผู้ขับขี่สองในสามคนขับขี่ในเมืองและในระยะทางสั้นๆ ผู้บริโภคในการสำรวจถึง 36 เปอร์เซ็นต์ สนใจและมีความต้องการซื้อรถยนต์ไฮบริดแน่นอน ผู้บริโภคจีนในบริเวณเมืองชายฝั่งทะเลที่มีการเติบโตสูงแสดงความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก หลังจากที่ได้รับคำอธิบายเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ โดยกว่าครึ่ง (53.8 เปอร์เซ็นต์) ของผู้ขับขี่คนจีนต่างนึกถึงภาพที่ตัวเองเป็นเจ้าของรถไฮบริดสักคัน ขณะที่มีเพียง 27.4 เปอร์เซ็นต์หรือน้อยกว่าหนึ่งในสามในเยอรมนีที่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเป็นเจ้าของรถไฮบริด อย่างไรก็ดีหากรัฐบาลออกมาตรการด้านภาษีมาสนับสนุนผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ก็จะสนใจซื้อรถไฮบริด ทั้งนี้กว่าครึ่งของผู้ถูกสำรวจ (64.2%) บอกว่าจะพิจารณาซื้อรถไฮบริด โดยพบว่ามาตรการภาษีเป็นสิ่งกระตุ้นการตัดสินใจมากจนถึงมากที่สุดในเยอรมนี (66.6%) ออสเตรีย (67.6%) และอังกฤษ (69.6%) อย่างไรก็ดี กว่าครึ่งของผู้ขับขี่ทั่วโลก (58.1%) ยังคงบอกว่าการขับขี่รถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะมีค่าใช้จ่ายในการซื้อรถมากกว่ารถยนต์ธรรมดา ผู้ขับขี่ 50.8 เปอร์เซ็นต์ไม่พร้อมที่จะจ่ายมากขึ้นสำหรับซื้อรถไฮบริด ส่วนอีกครึ่งหนึ่งอยากจ่ายเพิ่มเพียง 2,781 ยูโรเพื่อจะได้เป็นเจ้าของรถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม “หน้าที่ของเราคือ การชี้ให้ผู้ขับขี่รถยนต์เห็นว่าการใช้รถพลังงานทดแทนจะได้ประโยชน์อย่างไร และย้ำให้เห็นถึงประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ขับขี่และสิ่งแวดล้อม” ดร.นิวแมน กล่าว การสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า ราคาคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจซื้อรถไฮบริดของผู้ตอบแบบสำรวจถึง 63.5 เปอร์เซ็นต์ โดยในญี่ปุ่น 8 ใน 10 คน (82.6 เปอร์เซ็นต์) ของผู้ขับขี่ระบุว่า ประเด็นราคาคือสิ่งสำคัญที่สุดในการตัดสินใจ สำหรับผู้บริโภคในยุโรปส่วนใหญ่ ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมสำคัญเป็นอันดับสอง ตรงกันข้ามกับผู้บริโภคในเอเชีย อเมริกา และอังกฤษ ที่ไม่เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ นอกจากบางคนซึ่งเป็นข้อยกเว้น ดร.นิวแมน อธิบายเพิ่มเติมว่า “การตัดสินใจไม่ควรขึ้นอยู่กับเงินที่ต้องจ่ายเมื้อซื้อรถเท่านั้น แต่ควรจะเป็นการมองในระยะยาวมากกว่า เพราะการใช้รถไฮบริดจะทำให้ผู้ขับขี่ประหยัดอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะผู้ขับขี่ที่อยู่ในเมือง” สำหรับคำถามที่ว่าอะไรในการขับขี่รถไฮบริดที่น่าสนใจมากที่สุด ผู้ขับขี่ตอบว่าเรื่องการประหยัดน้ำมันของยานยนต์ไฮบริดจะเป็นประเด็นหลักในการตัดสินใจ โดย 37.9 เปอร์เซ็นต์จะสนใจรถไฮบริดที่กินน้ำมันน้อยและสามารถเร่งเครื่องได้ดีเท่าหรือดีกว่ารถยนต์แบบเดิม โดยผู้ขับขี่ส่วนใหญ่คาดหมายว่าการซื้อรถไฮบริดจะคุ้มทุนภายใน 3 ปี การพัฒนาด้าน ลิเธียม ไอออน แบตเตอรี่ที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งคอนติเนนตอลมีส่วนร่วมในการพัฒนานี้ ได้นำไปสู่ความสนใจยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่มีมากขึ้น โดยเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ขับขี่ (45.8 เปอร์เซ็นต์) ระบุว่าจะ “ซื้อแน่นอน” “น่าจะซื้อแน่” และ”คงจะซื้อ” รถที่ออกแบบเพื่อการขับขี่ในเมืองที่แล่นด้วยไฟฟ้าจากแบตเตอรี่และไม่ปล่อยมลพิษใดๆ ดร.นิวแมน ประกาศว่า คอนติเนนตอลจะจัดพิมพ์ข้อมูลสำหรับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ และยินดีมอบให้แก่ลูกค้าที่สนใจ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ คุณปัณรษี ไทยวัชรามาศ บริษัท พีอาร์ แอนด์ แอสโซซิเอส จำกัด โทรศัพท์ 0-2651-8989 ต่อ 222 อีเมล์ : [email protected] สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

ข่าวราคาน้ำมัน+ขับเคลื่อนวันนี้

บางจากฯ ตรึงราคาน้ำมันทั่วประเทศ เตรียมความพร้อมสถานีบริการกว่า 2,200 แห่ง รองรับคนเดินทางช่วงสงกรานต์นี้

บางจากฯ ตรึงราคาน้ำมันไม่ปรับขึ้นราคา 12 17 เมษายน นี้ แต่ถ้าราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลง จะปรับลดลงด้วย และเตรียมความพร้อมสถานีบริการกว่า 2,200 แห่งทั่วประเทศ เพื่อต้อนรับร่วมดูแลการเดินทางของประชาชน รองรับทุกความต้องการ เติมเต็มความสุขให้คนทุกกลุ่มทุกช่วงวัยตามแนวคิด "Greenovative Destination" นายเสรี อนุพันธนันท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ บางจากฯ จะตรึงราคาน้ำมันไม่ปรับขึ้นระหว่างวันที่ 12 17 เมษายน

ในยุคที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่... ออกรถไฮบริดมือสอง รุ่นไหนคุ้มค่าสุด ๆ ในยุคน้ำมันแพง อัปเดต 2025 — ในยุคที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มมองหาทางเลือกในก...