บล.บัวหลวง ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดปีนี้แตะ4.30%

บล.บัวหลวง เปิดแผนงานปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดที่ระดับ 4.30% เดินหน้าขยายฐานลูกค้าธนาคารกรุงเทพมาเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น และร่วมมือการทำตลาดกับมอร์แกน สแตนเลย์ ขยาย ลูกค้าสถาบัน พร้อมขยายธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มรายได้บริษัท นายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS เปิดเผยว่า แผนงานในปี 2551 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดการ ซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์เป็น 5.0% ในช่วงปลายปี และมีส่วนแบ่งการตลาดเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 4.30% จากปี 2550 ที่มีส่วนแบ่งการตลาดที่ 3.68% โดยจะทำการตลาดร่วมกันระหว่างบริษัท และ Morgan Stanley ซึ่งเป็นพันธมิตรให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มลูกค้าสถาบันทั้งในและต่างประเทศ หลังจากได้ทำสัญญา Exclusive Partner กับ Morgan Stanley ในช่วงกลางปีที่แล้วได้มีส่วนช่วยให้ สัดส่วนลูกค้าสถาบันทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 38.1% ช่วงสิ้นปี 2550 จาก 32.2% ณ สิ้นปี 2549 สำหรับลูกค้าบุคคลก็จะเน้นการให้บริการอย่างครบวงจรด้านการลงทุนทั้งตราสารทุนตราสารหนี้ ตราสารอนุพันธ์ และหน่วยลงทุน นอกจากนี้บริษัทจะเพิ่มการแนะนำลูกค้าจากธนาคารกรุงเทพ (BBL) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบล.บัวหลวงให้มากขึ้น หลังจากทำสัญญา Introducing Agent กับธนาคารกรุงเทพ เมื่อกลางปีที่แล้วเช่นกัน ซึ่งช่วยให้ขยายฐานลูกค้าบุคคลมาเปิดบัญชีซื้อขาย หลักทรัพย์ได้อีกช่องทางหนึ่ง และบริษัทมีแผนจะเปิดสาขาขนาดเล็กของบริษัทในธนาคารกรุงเทพ ซึ่งคาดว่าปีนี้จะสามารถเปิดให้บริการได้จำนวน 3-5 สาขา สำหรับงานด้านวาณิชธนกิจในปีนี้ยังเดินหน้าต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทมีดีลนำบริษัทเข้า จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) การเพิ่มทุนเสนอขายนักลงทุนทั่วไป (PO) และนักลงทุนเฉพาะเจาะจง (PP) รวม 8 ดีล มูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีอย่างน้อย 4 ดีลที่จะรับรู้รายได้ทันภายในปีนี้ และยังเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการควบรวมกิจการ (M&A) อีกหลายดีล รวมทั้งงานเป็นที่ปรึกษาให้แก่ธนาคารกรุงเทพและลูกค้าของธนาคารด้วย นายญาณศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทพยายามแสวงหาโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ๆ เพื่อลดความเสี่ยงโดยไม่พึ่งพิงธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพียงด้านเดียว บริษัทจึงมีแผนขยายธุรกิจอื่นๆ เพื่อกระจายรายได้ เช่น ธุรกิจจัดการการลงทุน ซึ่งตั้งเป้าเพิ่มขนาดกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจาก 1.2 หมื่นล้านบาท ในปี 2550 เป็น 1.5 หมื่นล้านบาทในปี 2551 และจากบริษัทคาดว่าธุรกิจจัดการกองทุนจะได้รับผลดีจากการจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝาก ทำให้ลูกค้าเงินฝากนำเงินมาลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคลมากขึ้น สำหรับธุรกิจด้านอนุพันธ์ (Derivative) ตั้งเป้ารักษาส่วนแบ่งทางการตลาด TFEX ในปีนี้เป็น 7% โดยมองว่าธุรกิจด้านนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้น จากจำนวนสัญญาที่มีการซื้อขายที่มากขึ้น รวมทั้งมีสินค้าอนุพันธ์ประเภทใหม่ๆ เข้ามาในตลาด ประกอบกับนักลงทุนมีความสนใจในการลงทุนตลาดอนุพันธ์มากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะให้บริการกู้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) ซึ่งคาดว่าน่าจะดำเนินการได้ ภายในไตรมาส 2 หรือไตรมาส 3 นี้ ซึ่งจากแผนการขยายธุรกิจในด้านต่างๆ น่าจะช่วยให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น สำหรับผลประกอบการปี 2550 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 221 ล้านบาท ลดลง 4.8% จากปี 2549 ที่มีกำไรสุทธิ 233 ล้านบาท โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 972 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2549 ซึ่งมีรายได้รวม 973 ล้านบาท โดยการปรับตัวของผลกำไรสุทธิ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เป็นผลจากการสร้างความพร้อมขององค์กรเพื่อรองรับต่อการขยายขอบเขตธุรกิจที่สูงขึ้นในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดหลักทรัพย์ในปี 2551 นายญาณศักดิ์มองว่าน่าจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าบรรยากาศการซื้อขายจะคึกคักขึ้น หลังจากมีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งแล้ว ส่งผลให้งบลงทุนของภาครัฐเข้าสู่ระบบและภาคเอกชนน่าจะมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามปัจจับทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะปัจจัยจากภายนอก โดยคาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันจะอยู่ที่ประมาณ 18,000 ล้านบาท จากปี 2550 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 17,097 ล้านบาท และ ฝ่ายวิเคราะห์ของบริษัทคาดการณ์ดัชนีหุ้นสิ้นปี 2551 ไว้ที่ระดับ 989 จุด สื่อมวลชนสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณปิยวรรณ อนันต์เวทยานนท์ (เอ๋) ที่ปรึกษางานประชาสัมพันธ์ โทร. 0-2292-9383 หรือ มือถือ 081 944-1972

• ข่าวญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์
• ข่าวบริษัทหลักทรัพย์
• ข่าวมอร์แกน สแตนเลย์
• ข่าวตลาดหลักทรัพย์
• ข่าวธนาคารกรุงเทพ