กรุงเทพฯ--25 มิ.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท นวลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "BBB" และยืนยันผลอันดับเครดิตหุ้นกู้มีประกันชนิดทยอยคืนเงินต้น 1,200 ล้านบาท (NVL063A) ของบริษัท ที่ระดับ "BBB+" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ของผู้บริหาร การมีสัมพันธภาพที่ดีและยาวนานกับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ และการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี อย่างไรก็ตาม อันดับเดรดิตถูกลดทอนจากต้นทุนทางการเงินของบริษัทที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยเฉพาะบริษัทเงินทุน รวมทั้งจากการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้นในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ และจากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่ถดถอยลงจากการที่บริษัทเงินทุนและบริษัทให้สินเชื่อเช่าซื้อในเครือข่ายของผู้ผลิตรถยนต์ได้ลดเงินดาวน์และอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อลงมาโดยตลอด ทั้งนี้ หากการแข่งขันยังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่องและบริษัทไม่สามารถรักษาระดับความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ ก็อาจส่งผลด้านลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท ส่วนอันดับเครดิตตราสารหนี้นั้นได้พิจารณาถึงการคุ้มครองผู้ถือหุ้นกู้โดยมีหลักประกันในอัตราส่วน 125% ของมูลค่าคงเหลือของหุ้นกู้ซึ่งได้แก่ สัญญาเช่าซื้อและสัญญาเช่าการเงินสำหรับรถยนต์ที่ค้างชำระไม่เกิน 2 เดือน ทั้งนี้ เมื่อใดที่สินเชื่อมีไม่เพียงพอ บริษัทจะต้องดำรงเงินสดหรือตั๋วสัญญาใช้เงินสำหรับเป็นหลักประกันในอัตรา 100% ของมูลค่าคงเหลือของหุ้นกู้ในส่วนที่มูลค่าหลักประกันคุ้มครองไม่เพียงพอ
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ธุรกิจเช่าซื้อเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันอยู่ในระดับสูง ในปี 2542 การแข่งขันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นจากการเข้าสู่ธุรกิจของผู้ประกอบการต่างชาติตลอดจนบริษัทเครือข่ายของผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทเงินทุน เพื่อที่จะขยายฐานลูกค้าและเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด ผู้ประกอบการรายใหญ่บางรายจึงดำเนินกลยุทธ์เชิงรุก เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อและเงินดาวน์ให้ต่ำลง แม้ว่าผู้บริหารของบริษัทนวลิสซิ่งจะสามารถนำพาบริษัทให้ผ่านช่วงวิกฤติเศรษฐกิจมาได้ แต่ด้วยต้นทุนทางการเงินที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่น ทำให้บริษัทมีความยากลำบากในการรักษาฐานะทางการตลาดในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ การที่แผนแม่บทสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศใช้เมื่อไม่นานมานี้ได้อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์สามารถดำเนินธุรกิจเช่าซื้อได้ ทริสเรทติ้งคาดว่าในระยะเริ่มแรกที่ธนาคารพาณิชย์เข้าสู่ธุรกิจนี้น่าจะเน้นไปในด้านสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ซึ่งไม่จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ที่มากเหมือนการให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เก่า ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เน้นการให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่เช่นบริษัทนวลิสซิ่งจะต้องเผชิญกับการแข่งขันจากธนาคารพาณิชย์ที่มีทั้งเครือข่ายสาขาที่มากกว่าและต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่า ดังนั้น บริษัทจึงได้กลับไปดำเนินธุรกิจที่บริษัทมีประสบการณ์สูงในช่วงก่อนวิกฤตการณ์ปี 2540 ได้แก่ การให้เช่าซื้อและการให้เช่าการเงินสำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์แก่ลูกค้านิติบุคคลซึ่งเป็นตลาดที่มีการแข่งขันน้อยกว่าและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่ก็ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของฐานลูกค้าสูงขึ้นเช่นกัน
ทริสเรทติ้งยังกล่าวว่า การก่อหนี้ของบริษัทนวลิสซิ่งอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แม้ว่าอัตราส่วนการก่อหนี้ที่สำคัญจะแสดงความถดถอยตั้งแต่ปี 2543 โดย ณ สิ้นปี 2546 บริษัทมีอัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมในอัตรา 20.32% ซึ่งลดลงจากอัตรา 32.92% ในปี 2545 และ 51.43% ในปี 2544 เนื่องจากสินทรัพย์ของบริษัทขยายตัวเร็วกว่าส่วนของผู้ถือหุ้น บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิได้มาโดยตลอดแม้กระทั่งในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งมีระดับลดลงเหลือเพียง 8 ล้านบาทในปี 2540 อันเป็นผลมาจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน แต่หลังจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว รายได้สุทธิของบริษัทก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 44 ล้านบาทในปี 2541 เป็น 62 ล้านบาทในปี 2542 และ 91 ล้านบาทในปี 2543 อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิได้ลดลงเป็น 60 ล้านบาทในปี 2544 และ 61 ล้านบาทในปี 2545 ด้วยเหตุผลสำคัญจากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อรักษาฐานะทางการตลาดของบริษัท รวมทั้งจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายดำเนินงาน สำหรับปี 2546 บริษัทแสดงผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 67 ล้านบาทซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของสินเชื่อและต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลงจากการใช้เงินกู้ยืมระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมระยะสั้นส่งผลให้เกิดความไม่สอดคล้องกันในโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนในการออกหุ้นกู้ระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สอดคล้องกันนี้ นอกจากนี้ บริษัทยังต้องพยายามรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรให้ได้ในภาวะที่การแข่งขันยังคงรุนแรงด้วย ทริสเรทติ้งกล่าว--จบ--
-นท-
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit