กรุงเทพฯ--15 ธ.ค.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
Talk Show "บริหารรายรับ สำหรับศักราชใหม่ 2004"
โดย ดร.เสรี วงศ์มณฑา
ถามว่าสถานภาพดร.เสรี วงศ์มณฑา ในปัจจุบันเป็นอย่างไร ก็ต้องบอกเลยว่าครบทุกแบบทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา สถาบันราชภัฏสวนดุสิต และเป็นเจ้าของกิจการ เป็นนักแสดงรับเชิญ ส่วนเรื่องของรายได้ที่ดีนั้น ก็มีคละเคล้ากันไป หากเป็นรายได้จากความสามารถที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว เช่น การบรรยายต่างๆ ก็จะได้รายได้ที่ดี ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ที่เรียกว่า Product Unit แต่ถ้าเป็นรายได้ที่มาจากการแสดง การเล่นภาพยนตร์หรือเล่นละคร ก็จะเรียกค่าตัวแพงไม่ได้ เพราะบทบาทการแสดงที่เราเล่นนั้นใครๆ เล่นก็ได้
แต่ทว่า คำว่า "ถูก"จากรายได้พิเศษ ก็ยังเป็นรายได้ที่มากกว่ารายได้ปกติธรรมดาที่ได้รับ เช่น เล่นละคร 3-4 คิวก็ได้เป็นแสน แต่ถ้าเป็นงานพูดแล้ว มีทั้งจำนวนเงินที่ได้มากและไม่ได้เลยก็มี และเป็นคนที่ไม่เก็บเงินสด หากได้เงินมากอันดับแรกคือ ซื้อทอง ซึ่งมีวิธีบังคับคือ เมื่อไหร่ที่มีคนให้พระมา ไม่ว่าจะเป็นงานบุญ งานศพ ทอดกฐิน ก็จะเอาพระที่ได้ไปใส่จีวรคือ ไปเลี่ยมทอง และจะซื้อสร้อยทองคล้องพระทุกองค์ไว้ พระองค์เล็กก็ซื้อทอง 2 บาท พระองค์ใหญ่ก็ซื้อ 3 บาท เพราะฉะนั้นนี้เป็นการบังคับให้ออมโดยอัตโนมัติ
การออมอย่างอื่นก็คือ บ้าน หรือคอนโด ถ้าเห็นสวย ราคาเหมาะสมและมีปัญญาที่จะผ่อนได้ก็จะทำเป็นคนที่ชอบซื้อสินค้าเงินผ่อน เพราะฉะนั้นทั้งทองและอสังหาริมทรัพย์เป็นกลยุทธ์การออมที่เห็นชัดเจน
ส่วนเรื่องการลงทุนในหุ้นนั้นไม่ได้นึกฝัน แต่ก็มีหุ้น แต่ไม่ได้เล่น ที่มีเพราะว่าตอนนั้นเข้าไปนั่งเป็นกรรมการในบริษัทเครือสหพัฒน์ ซึ่งบริษัทต่างๆ ก็มีวิธีที่จะรักษาพนักงานไว้คือ เปิดโอกาสให้ซื้อหุ้นในราคาพิเศษ จึงทำให้มีหุ้นของบริษัทต่างๆ ที่อยู่ในเครือสหพัฒน์ เมื่อได้แล้วก็ไม่เคยตามดูว่าราคาหุ้นไปถึงไหน เท่าไหร่แล้ว เป็นการถือเก็บเอาไว้ เวลาสิ้นปีก็ได้รับเชิญเข้าประชุมผู้ถือหุ้นและรอรับเช็คเงินปันผลที่จะส่งมาให้ หุ้นที่ซื้อมาจึงไม่เคยขายเลย ยกเว้นครั้งเดียวในชีวิต คือขายหุ้นเพื่อซื้อรถยนต์ราคา 7 แสนบาทรับขวัญน้องสาวที่กลับจากเรียนต่อต่างประเทศ ก็ขายหุ้นให้ได้เงิน 7 แสนบาทเท่าราคาของรถยนต์ ตอนนั้นดัชนีตลาดหุ้นขึ้นไประดับพันกว่าจุด หุ้นที่ซื้อไว้ตอน 200 บาทต่อหุ้นก็ขึ้นไปกว่า 900 บาทต่อหุ้น ก็กำไร 700 บาทต่อหุ้น สำหรับหุ้นอื่นๆ ที่ซื้อไว้ก็ยังถืออยู่มานานมากจนกระทั้ง ต้นปี 2546 นี้ ตลาดหุ้นเริ่มทะยานขึ้น มีลูกศิษย์ที่เรียน MBA อยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นโบรกเกอร์(เจ้าหน้าที่การตลาด) บอกว่าจะดูแลให้ นับตั้งแต่นั้นมาก็เลยเข้ามาซื้อหุ้นอีกครั้ง
ตอนที่เข้ามาซื้อหุ้น ดัชนีตลาดอยู่ที่ระดับ 400 จุด มีหุ้นอยู่ตัวหนึ่งซื้อตอนที่ราคา 8 บาทต่อหุ้น ตอนนี้ก็ 82 บาทต่อหุ้นแล้ว แต่เราเป็นนักลงทุนระยะยาว ไม่ขอเล่นหุ้นแบบซื้อมาขายไป หรือที่เรียกว่าชอร์ตเทอม จะเล่นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ถือเป็นการลงทุนจริงๆ และซื้อเก็บระยะยาวได้
สำหรับการลงทุนซื้อบ้านไว้นั้น ทำให้เงินที่ได้มาไม่ไปใช้จ่ายเรื่อยเปื่อย เป็นการสะสมที่เห็นตัวทรัพย์สินชัดเจน โดยไม่เสี่ยงโดยเฉพาะเวลาที่แก่ตัวในอนาคตเพราะยังมีอสังหาริมทรัพย์ไว้ให้เช่า เพราะในยุคที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ต่ำสุดขณะนี้ ต้องมีเงินฝากถึง 12 ล้านบาทจึงจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในยามแก่ได้ แล้วชาตินี้จะมีคนไทยแบบนี้สักกี่คน เพราะฉะนั้นดีที่สุดของดร.เสรีคือ 1.ทอง 2.อสังหาริมทรัพย์ และ3.หุ้นที่มีพื้นฐานดี
เมื่อมีรายได้เข้ามา แน่นอนว่าย่อมต้องมีรายจ่าย ซึ่งในอดีตก็เป็นคนทำมาหากิน ไม่ได้ทำมาหาเก็บ ผลปรากฏว่าอ้วนเกินขนาด ตอนนี้จึงเปลี่ยนมาเป็นทำมาหาแต่ง(ตัว)หรือทำมาหาเที่ยว เพราะจริงๆ แล้วถ้าทำมาหากิน ตอนนี้ก็สามารถที่จะหยุดทำงานได้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารไม่ถึง 100 บาทต่อวัน ในขณะที่สอนหนังสือปริญญาโทวันละ 3 ชั่วโมงได้ 4,500 บาท แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปทำรายการวิทยุ โทรทัศน์ แต่งตำราหรือออกรายการต่างๆ
แต่คิดอย่างนี้ไม่ได้ เดี๋ยวไม่มีกำลังใจทำมาหากิน เพราะฉะนั้นเราต้องแต่งหรือเที่ยวให้แพงขึ้น และจัดสรรเงินรายได้อันดับแรกคือ จัดสรรเพื่อการผ่อนคอนโดมิเนียมและบ้าน ต่อมาคือส่วนหนึ่งจัดสรรเป็นเงินฝากประจำทั้งในนามบัญชีชื่อตัวเอง และชื่อของหลานเพื่อเป็นการบังคับ คือฝากทุกเดือน มีหลาน 3 คนๆ ละ 20,000 บาทก็ตกเดือนละ 60,000 บาท ส่วนเงินที่เหลือก็จ่ายตามใจเราเพื่อความสุขและเพื่อเพิ่มพลังในการทำงานให้กับตัวเอง
อย่างดร.เสรีชอบดูหนังมาก สัปดาห์ละ 2 ครั้ง และถ้าเกิดมีการแสดงละครหรือกิจกรรมพิเศษต่างๆ ที่เป็นสมาชิกของบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสก็จะซื้อตั๋วไปดู ทั้งที่โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง โรงละครกรุงเทพ หรือที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้เราต้องไม่ให้ชีวิตรันทด ทำให้ชีวิตเราไม่ขาดในสิ่งที่เราปรารถนา ทำให้มีชีวิตชีวาสดใส
ส่วนการจะตัดสินใจซื้อของหรือลงทุนในหุ้นนั้น จะต้องมีการเช็คดูก่อนว่ารายได้พิเศษที่จะได้มาในอนาคตอันใกล้นี้สามารถที่จะรองรับกับรายจ่ายนี้ได้ อาทิ วันนี้ สั่งซื้อหุ้นไปแล้ว 2 แสนบาท โดยที่เป็นรายได้ที่จะได้อย่างแน่นอนจากงานที่ทำในช่วงอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า เพราะฉะนั้นเวลาสร้างหนี้ จะต้องไม่เป็นการตักกระบอกก่อนเห็นน้ำ แต่ต้องเห็นน้ำแล้ว เพียงแต่ตักกระบอกเท่านั้น นั่นคือการสร้างหนี้ในยามที่เห็นหนทาง
การซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้น จะไม่ใช้เงินพิเศษ แต่จะเป็นการใช้เงินรายได้ประจำที่สามารถผ่อนได้ คือไม่เอาเงินค่าเล่นหนัง ละคร หรือเงินพิเศษจากการไปบรรยายมาผ่อนอสังหาริมทรัพย์ ตรงนี้จะระวังไม่ให้พลาดเลย ซึ่งของพิเศษต้องได้มาจากเงินพิเศษ
อย่างไรก็ตามในส่วนของเงินสดก็ต้องมีการจัดสรรเช่นกัน โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ เงินฝากออมทรัพย์ไว้กดเงินสดจากตู้ ATM บัญชีเงินฝากกระแสรายวันเพื่อรับเช็คเข้า และเงินฝากประจำที่ห้ามถอนออกมาเด็ดขาด และให้ลืมไปเลย ถึงขนาดที่ว่าเวลาจะโอนดอกเบี้ยที่ได้จากเงินฝากประจำเข้าบัญชีกระแสรายวันยังต้องให้หลานทำการจัดการให้ ทำก็เพียงแต่เซ็นเช็คอย่างเดียวปี 2547 คาดว่ารายได้เพิ่มขึ้น เพราะ ปีนี้เล่น 2 เรื่อง ปีหน้ามีติดต่อไว้ 1 เรื่องแล้ว นอกจากนั้นยังได้ทำรายการโทรทัศน์เพิ่มทางช่อง 3 โดยปีหน้าจะมีการทำรายการเพิ่มอีก 1 รายการ ขณะเดียวกันสถาบันราชภัฎสวนดุสิตเชิญบรรยายลงซีดีรอม 3 วิชา และมีสถานีโทรทัศน์ที่ใช้ระบบดาวเทียมของกลุ่มชินคอร์ปจะทำรายการเกี่ยวกับการศึกษาทางไกลที่เข้ามาติดต่อให้ไปร่วมในการบรรยายผ่านดาวเทียม และมีเรื่องการสอนภาษาอังกฤษกับกลุ่มผู้ขับแท็กซี่ และยังมีโครงการทอล์คโชว์ 1 ครั้งและเตรียมเขียนบทและกำกับละครเวทีอีก 1 เรื่อง
และอยากจะบอกว่า สิ่งเหล่านี้ที่ได้ทำเพราะตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ ได้สะสมเรื่องต่างๆ ไว้มาก คือ 1.เรียนเก่ง 2.ทำกิจกรรมไว้เยอะมีโอกาสเป็นผู้นำ พอมาทำงานก็เป็นคนตะกายดาว เราไม่อยากเป็นมนุษย์เฉลี่ย ต้องการเป็นมนุษย์ out standing เราต้องนั่งแถวหน้า เพราะฉะนั้นจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า เราจะไม่ทำงานเพียงแค่ "ผ่าน" แต่ให้ทุกครั้งที่ตกลงรับงาน ต้องศึกษา ใช้ความสามารถและศักยภาพเต็มที่ เพราะว่าเมื่อเรายอมรับอัตราค่าจ้างแล้ว ถือเป็นจบ ไม่ว่าจะ 200 บาทหรือ 500 บาท แต่เวลาทำงานไม่ได้คิดแค่นั้น ต้องทำให้เต็มที่ สิ่งนี้อยู่ในใจตลอดเวลา ถ้าเราคิดถึงงานก่อนเงิน แปลว่าเราจะได้ผลงานที่ดีไม่ว่าจะเงินเท่าไหร่ และนี้เป็นการสร้างโอกาสให้ตัวเอง แต่ถ้าคิดเงินก่อนงานทำแค่นี้ เราจะไม่ได้งานและไม่ได้เงิน
ที่ผ่านมา เคยเจอเด็กมวลชน ถามว่า ทำไมครู อาจารย์ของเมืองไทยมีความแตกต่างกัน ขณะที่อาจารย์มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ขับรถยนต์ นั่งห้องแอร์ แต่ครู อาจารย์ที่อยู่ชนบทขี่จักรยาน หรือมอเตอร์ไซด์นั่งทำงานห้องธรรมดา ก็อยากจะบอกว่า โลกนี้เป็นโลกของการแข่งขัน สมัยเรียนครูตั้งใจเรียน เพราะฉะนั้นต้องมีผลตอบแทนให้ครูบ้าง และครูยังถือคติที่ว่า รักร้อนจะนอนเย็น รักเย็นจะนอนดิ้นตาย
กลับมาพูดถึงเรื่องของเงินๆ ทองๆ ที่นอกจากจะใช้เงินอย่างฉลาด อย่าสร้างหนี้ล้นพ้นตัว และเมื่อเราทำงาน เงินก็ต้องทำงานด้วย และยังต้องมีการศึกษาจัดการเกี่ยวกับเรื่องเงินทองไว้ อาทิ เรื่องของการเสียภาษี ซึ่งดร.เสรีเสียภาษีแต่ละปี เทียบกับราคารถยนต์หนึ่งคันที่ต้องเสียไป ทั้งที่หักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว จึงต้องมีการลงทุนเพิ่มเติม มีการบรรจุพนักงานบริษัททุกคนให้ถูกต้องเป็นทางการ จ่ายโบนัสและให้สวัสดิการกับพนักงานอย่างเต็มที่ อย่างที่บริษัทมีการพาพนักงานไปเที่ยวสหรัฐอเมริกาทุกปี นี้คือค่าใช้จ่ายที่เป็นการสร้างบารมีกับลูกน้อง และยังเป็นการสร้างความสุขและเปิดหูเปิดตาให้กับลูกน้องด้วย
นอกจากนั้น ควรมีการทำประกันชีวิต โดย ดร.เสรีมี 6 กรมธรรม์ และสามารถนำค่าใช้จ่ายผ่อนอสังหาริมทรัพย์ไปลดภาษีได้ รวมทั้งจัดประเภทของรายรับให้เหมาะสม อาทิ รายได้จากการทอร์คโชว์เป็นรายได้จากการแสดง ที่สามารถหักค่าใช้จ่ายเครื่องแต่งกายได้ถึง 60% แทนที่จะเป็น 100% นั้นคือเมื่อเสียภาษีจะคิดบนฐานของรายได้ที่ 40% สิ่งเหล่านี้เราต้องได้นักบัญชีที่เก่ง ที่จะบอกให้เรารู้ว่าเงินส่วนนี้สามารถลงบัญชีเป็นรายได้ประเภทไหน อาทิ เมื่อพาพนักงานไปเที่ยวต่างประเทศ ให้จ้างบริษัทหรือคนที่รู้จักเพื่อที่จะให้ค่าใช้จ่ายส่วนนี้นำไปหักได้จากบริการนำเที่ยวของบริษัทได้
สิ่งเหล่านี้ จำต้องอ่านหนังสือให้มาก ซึ่งในหนึ่งวัน ดร.เสรี อ่านวันละ 5 เล่มเป็นอย่างต่ำ เช่น หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐและหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เป็นต้น ขณะเดียวกันก็ดูรายการโทรทัศน์ที่เกี่ยวกับการสร้างความรู้ มีการพูดคุยกัน อาทิ ที่นี้ประเทศไทย ถึงลูกถึงคน กรองสถานการณ์ คมชัดลึก เป็นต้น และยังฟังรายการวิทยุ อาทิ คลื่นเอฟเอ็ม 96.5 เอฟเอ็ม 97.5 ซึ่งหนังสือพิมพ์และรายการเหล่านี้ช่วยประเทืองปัญญา เพราะฉะนั้น ดูเยอะ อ่านเยอะ ฟังเยอะ ที่ปรึกษาก็ไม่ต้องมี หรือกรณีที่ลงทุนในตลาดหุ้น ก็มีโบรกเกอร์เป็นที่ปรึกษาอยู่แล้ว ไม่ต้องเสียเงินนอกจากค่าธรรมเนียมการซื้อขาย อย่างเช่น กรณีที่หุ้นตก ก็จะแนะให้ซื้อหุ้น IPO แทน
ท้ายที่สุดอยากจะแนะนำว่า การลงทุนใดๆ ให้รู้และศึกษาก่อนทำ อย่าหวือหวาตามกระแส อย่าหลงไปกับจิตวิทยาต่างๆ อย่าอายที่จะถามผู้รู้ และไม่ควรซื้อขายหุ้นโดยไม่ถามผู้รู้--จบ--
-รก-
บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR โดย คุณมิ่งขวัญ ประเสริฐศิวพร (ที่ 2 จากขวา) ผู้จัดการ งานส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเงิน ร่วมเป็นวิทยากรในกิจกรรม "Happy Money Sharing: Financial Well-Being Journey 2025" จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ส่งเสริมความรู้ทางการเงินในองค์กร แก่ผู้แทนองค์กรพันธมิตร ทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ทั้งหมด 28 องค์กร ให้สามารถไปปรับใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กับพนักงานในองค์กร สมาชิกในชุมชน หรือประชาชนทั่ว