กรุงเทพฯ--3 มี.ค.--ทีเอ
บริษัทเทเลคอมเอเซีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ แถลงผลการดำเนินงานสำหรับปี 2545 โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 24.9 (เป็น 25.8 พันล้านบาท) ซึ่งนับว่าสูงกว่าการเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 6.4 ในปี 2544 เป็นอย่างมาก โดยหากไม่รวมรายได้จากทีเอ ออเร้นจ์ บริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 11.6 (เป็น 23.0 พันล้านบาท) เปรียบเทียบกับการเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 6.5 ในปี 2544
นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานหัวหน้าคณะผู้บริหาร กล่าวว่า "ผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นไปตามที่บริษัทได้คาดการณ์ไว้ โดยบริษัทสามารถปรับปรุงผลการดำเนินงาน รวมทั้งปรับปรุงคุณภาพของงบดุลด้วย นอกจากนั้นเรามีรายได้จากธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งให้แก่บริษัท ทำให้บริษัทสามารถนำไปลดภาระหนี้สิน และทำให้บริษัทสามารถขยายงานเพื่อการเติบโตต่อไป รวมทั้งการพัฒนาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดเสรีโทรคมนาคมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้"
ในปี 2545 บริษัทประสบความสำเร็จในการออกจำหน่ายหุ้นกู้ให้กับประชาชนจำนวน 18.5 พันล้านบาท ซึ่งนับเป็นหุ้นกู้ที่จำหน่ายโดยภาคเอกชนจำนวนมากเป็นอันดับสองในประเทศไทย เงินทุนที่ระดมได้จากการออกหุ้นกู้และเงินกู้สกุลบาทจาก บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation: IFC) จำนวน 1.1 พันล้านบาท ทำให้บริษัทสามารถใช้คืนเงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐได้จำนวน 453 ล้านเหรียญ คงเหลือเพียง 78 ล้านเหรียญสหรัฐ ณ ปลายปี 2545
นอกจากนั้นบริษัทประสบความสำเร็จในการซื้อคืนตั๋วเงินจ่ายสกุลเยน จำนวนรวม 3.6 พันล้านบาท ที่อัตราส่วนลดถึงร้อยละ 81.3 จากราคาตามบัญชี ทำให้มีกำไรจำนวน 3.1 พันล้านบาท ในไตรมาสที่ 4 ปี 2545
ผลการดำเนินงานโดยรวม พบว่า EBITDA หรือ กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย นั้น เติบโตขึ้นในอัตราร้อยละ 8.4 (เป็น 9.7 พันล้านบาท)ในปี 2545 เปรียบเทียบกับการลดลงในอัตราร้อยละ 5.4 ในปี 2544 และหากไม่รวมทีเอ ออเร้นจ์ EBITDA จะเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 14.8 ในปี 2545 (เป็น 11.7 พันล้านบาท) เปรียบเทียบกับอัตราร้อยละ 7.4 ในปี 2544
จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ ได้ส่งผลให้บริษัทมี อัตราการทำกำไร EBITDA (ไม่รวมทีเอ ออเร้นจ์) เพิ่มขึ้นจากอัตราร้อยละ 49.5 ในปี 2544 เป็น 51.0 ในปี 2545 ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จในการควบคุมค่าใช้จ่ายของบริษัท หากนับรวม ทีเอ ออเร้นจ์ EBITDA Margin ลดลงจากอัตราร้อยละ 43.7 ในปี 2544 เป็น 37.9 ในปี 2545 เนื่องจาก การขาดทุน ณ ระดับ EBITDA จากทีเอ ออเร้นจ์ มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทได้รวมผลการดำเนินงานของทีเอ ออเร้นจ์เต็มปีในปี 2545 นี้
บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 5.4 พันล้านบาท ในปี 2545 เปรียบเทียบกับ ขาดทุนจำนวน 3.4 พันล้านบาท ในปี 2544 ซึ่งผลขาดทุนดังกล่าว รวมรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานหลายรายการ ซึ่งเป็นผลขาดทุนรวม 3.7 พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นผลขาดทุนจากการด้อยค่าของเงินลงทุนใน FLAG จำนวน 5.7 พันล้านบาท และกำไรจากการซื้อคืนตั๋วเงินจ่ายจำนวน 3.1 พันล้านบาท
หากไม่นับรวมรายการพิเศษดังกล่าวและทีเอ ออเร้นจ์ บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ปรับปรุงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยมีผลขาดทุนลดลงในอัตราร้อยละ 65.5 เป็น 1.2 พันล้านบาท ในปี 2545 จาก 3.4 พันล้านบาทในปีก่อน
รายได้จากทีเอ ออเร้นจ์ มีจำนวน 2.9 พันล้านบาทในปี 2545 ซึ่งเป็นปีแรกของการเปิดให้บริการ โดยมี EBITDA จากทีเอ ออเร้นจ์เป็นผลขาดทุนจำนวน 1.8 พันล้านบาท หรือจำนวน 335 ล้านบาทหลังหักผลกำไรที่เกิดจากการตัดจ่ายค่าความนิยมติดลบจำนวน 2.3 พันล้านบาท ทั้งนี้ EBITDA จากทีเอ ออเร้นจ์ มียอดติดลบที่ลดลง เป็นเวลา 3 ไตรมาสติดต่อกัน
รายได้จากธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐาน รวมทั้งธุรกิจโครงข่ายข้อมูลดิจิตอล (Digital Data Network - DDN) เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 7.3 โดย รายได้จากธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอในอัตราร้อยละ 3.2 เป็น 16.1 พันล้านบาท โดยมีรายได้จากบริการเสริมต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะบริการโทรศัพท์สาธารณะ
รายได้จากบริการโครงข่ายข้อมูลดิจิตอล เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 48.7 เป็น 629 ล้านบาท หากไม่รวมส่วนที่ให้บริการแก่ทีเอ ออเร้นจ์ หรือ เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 138.4 เป็น 1,200 ล้านบาท หากรวมทีเอ ออเร้นจ์จากผลการดำเนินงานที่ปรับปรุงเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทได้นำไปใช้คืนเงินกู้ก่อนกำหนด รวมทั้งการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจที่มีการเติบโตสูง โดยกระแสเงินสดของบริษัท (ไม่รวมทีเอ ออเร้นจ์) เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 158.7 เป็น 4.7 พันล้านบาท ในปี 2545 ทำให้บริษัทสามารถใช้คืนเงินกู้ก่อนกำหนดจำนวน 1.6 พันล้านบาท
นายวิลเลี่ยม แฮริส หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน กล่าวว่า " ความสำเร็จในการปรับปรุงงบดุลของบริษัท ทำให้สัดส่วนของหนี้สินต่างประเทศต่อหนี้สินรวมลดลงจากอัตราร้อยละ 55 ในปี 2544 เป็นอัตราร้อยละ 22 ในปี 2545 และทำให้สัดส่วนด้านหนี้สินอื่นๆ ปรับปรุงดีขึ้นเป็นอย่างมาก การที่งบดุลของบริษัทในปัจจุบันดีขึ้นมาก จะเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเติบโตของบริษัทในอนาคต"
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ทีเอ 011 (03/03/2546)
โทร. 0-2699-2055 / 0-2699-2057
โทรสาร0-2699-4909--จบ--
-นห-