กรุงเทพฯ--1 เม.ย.--อาร์.เอส. โปรโมชั่น
งาม : คือเรารู้จักกันมาก่อนครับ อย่างผมกับ "เป้ง" เราเรียนที่เดียวกัน คือที่วิมลพาณิชยการ ศรีย่าน แล้วเราก็รักเสียงดนตรีเหมือนกัน เลยได้เป็นนักดนตรีของโรงเรียนตั้งแต่อยู่ปี 1 เลยครับ จนตอนหลังได้มารู้จักกับ "นนท์" เพราะเค้าจะมานั่งดูผมซ้อมบ่อย ๆ แต่ตอนนั้นเค้ายังเล่นดนตรีไม่เป็นเลย จนได้คุยกันก็เลยรู้ว่าเค้าเองก็อยากจะมาร่วมวงด้วย เค้าเลยไปหัดเล่น
นนท์ : ตอนแรกที่นั่ง ๆ ดูอยู่ก็นึกอยากจะเล่นกับเค้าเหมือนกัน เลยตัดสินใจตอนที่ "งาม" เค้าชวน เริ่มแรกผมลองหัดเล่นกีต้าร์ครับ แต่เล่นไปเล่นมา รู้สึกว่าเราไม่ค่อยชอบ ก็เลยลองหันไป หัดตีกลอง แล้วก็เริ่มสนุกกับมัน แต่เราซ้อมเอง มันก็ไม่ค่อยคืนหน้า ก็เลยคิดว่าน่าจะไป หาที่เรียนให้เป็นเรื่องเป็นราวจะดีกว่า ก็เจียดเงินจากเงินค่าขนมที่ได้นี่แหละครับ
เป้ง : "นนท์" เค้ามีความมุ่งมั่นครับ จากที่เล่นไม่เป็นเลย พอมาเจอเค้าอีกที ยอมรับเลยครับว่า ฝีมือเค้าพัฒนาขึ้นมาก และพัฒนาไปเรื่อย ๆ จนเดี๋ยวนี้เค้าเป็นอาจารย์สอนดนตรีไปแล้ว ผมรู้มาว่าหลังจากที่เค้าเรียนตีกลองแล้ว เค้ายังใช้เวลาหลังเลิกเรียนไปซ้อม วันละประมาณ 5-6 ชั่วโมงทุกวัน คือเค้าเป็นคนจริงจังครับ ตั้งใจอยากจะทำอะไรแล้วต้องทำให้ได้ ผมกับ "งาม" ก็เลยได้สมาชิกวงเพิ่งขึ้นมาอีกคน พอช่วงปิดเทอมเราก็เลยไปหาที่เล่นดนตรีกัน ก็ได้ร้านคนรู้จักแหละครับ ได้ค่าขนมนิดหน่อย แต่ที่เราได้กันเต็ม ๆ เลยก็คือประสบการณ์
นนท์ : จากนั้นพอจบปี 3 เราก็แยกย้ายกันไป "งาม" เค้าไปเรียนต่อ ปวส. ที่เทคนิควิมลบริหารธุรกิจ "เป้ง" ก็เลือกเรียนปวส. ต่อที่วิมลฯ (ที่เดิม) ส่วนผมก็เรียนต่อด้านดนตรีจริงจังไปเลย ที่สถาบันราชภัฏพระนคร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เอกดนตรีสากล
เป้ง : แล้วพอผมจบ ปวส. แล้ว "งาม" เค้าก็เล่นดนตรีกับเพื่อนอีกกลุ่มครับ ส่วนผมก็ทำงานประจำครับ แต่พอทำได้สักพัก "งาม" เค้าก็โทรมาชวนให้ไปเล่นอะคูสติกด้วย เพราะวงที่เค้าเล่นอยู่เลิกเล่นกันไป ผมก็เลยทำทั้ง 2 อย่าง คือเช้าไปทำงานประจำ กลางคืนเล่นดนตรี ถึงได้รู้ว่า การเยียบเรือ 2 แคมนั้น มันไม่ดีจริง ๆ เพราะกว่าจะได้นอนก็เกือบสว่างแล้ว แถมนอนได้ 2-3 ชั่วโมงก็ต้องรีบตื่นไปทำงานประจำ ต่อ ผมก็เลยตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่ผมรัก และที่สำคัญคือทำแล้วสบายใจ ไม่ฝืนตัวเอง ก็เลยไปลาออกจากงานประจำครับ
งาม : แต่พอเล่นอะคูสติกไปได้ไม่นาน ผมก็ไปเห็นอีกวงที่เล่นต่อจากวงผม เค้าเป็นวงใหญ่มีเครื่องดนตรีเยอะชิ้นกว่าเรา เสียงดนตรีของเค้าก็เลยมีสีสันมากขึ้น ผมเลยคิดว่าวงของเรา ก็น่าจะเพิ่มอีกสักชิ้น ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นกลอง เลยโทรไปชวน "นนท์" มาแจมด้วย ชีวิตนักดนตรีก็แบบนี้แหละครับ นอกจากจะเปลี่ยนร้านไปเรื่อย ๆ แล้ว บางครั้งเพื่อน ๆ ในวงก็ยังต้องสลับผลัดเปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ อีกด้วย แต่ในที่สุดเราก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ส่วน "โต" นี่ ผมเจอเค้าตอนตระเวนเล่นดนตรีตามร้าน พอดีวันนั้นผมไปออดิชั่นร้านเดียวกันกับที่ "โต" เค้าเล่นอยู่ ผมยังจำได้เลยว่า ครั้งแรกที่ผมได้ฟังเสียงโซโลกีต้าร์ของเค้า ผมชอบ สไตล์การเล่นของเค้ามาก คือต้องบอกว่าในความรู้สึกผม ฝีมือดีมาก พอผมเล่นที่ร้านนี้ได้ ไม่นาน เราก็มาเจอ "พี่เต็น" ครับ คุยไปคุยมาเค้าก็บอกว่า ชีวิตพวกเราเหมือนกับเค้าตอน สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่นเลย คือต้องทำงานเลี้ยงตัวเองมาตลอด แล้วพี่เค้าก็ชวนให้ลองมาคุยกับ "พี่ปอนด์" แต่แนะนำว่า น่าจะหาสมาชิกมาเพิ่มอีกสักคน จะได้มีสีสันมากขึ้น ผมก็เลยนึกถึง "โต" ขึ้นมา ก็ลองไปชวนเค้าดู ซึ่งเค้าก็ตอบตกลงทันที
พอคุยแล้วทางอาร์เอส.ฯ ตกลง ทันทีเลยหรือเปล่า
โต : คือพอคุยกับ "พี่ปอนด์" แล้ว พี่เค้าก็ให้มาทำงานส่ง เราก็เลยไปกิน-นอนอยู่ที่บ้าน "พี่เต็น" นั่งคิดนั่งทำกันไปเรื่อย ๆ เช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า สลับไป-มา บางวันเริ่มจากเที่ยงวันหนึ่งไปถึงเช้าอีกวันหนึ่ง จนสุดท้ายก็เสร็จ พอเอางานมาส่ง พี่ ๆ เค้าก็ชอบครับ จากนั้นก็นัดเข้ามาเซ็นสัญญา เราก็เลยได้มาอยู่ที่อาร์เอส.ฯ นี่แหละครับ
เคยเข้าประกวดแข่งขันตามโครงการบ้างหรือเปล่า
เป้ง : เคยครับ ตอนนั้นเรียนอยู่ ปี 3 ที่วิมลฯ ผม "งาม" "นนท์" เคยประกวด "ยามาฮ่า คอมโบ้ แบนด์ ครั้งที่ 1" แต่ไม่ได้รางวัล มาตอนหลัง "นนท์" เค้าประกวดในนามสถาบันราชภัฎพระนคร และได้รางวัลชนะเลิศ ยอดเยี่ยม จาก FUTURE THAINET THAILAND BAND CONTEST
ใครเป็นผู้ชักจูงเข้ามาที่อาร์เอส.ฯ
โต : "พี่เต็น" (ธีรภัค มณีโชติ) ครับ และอัลบั้มชุดนี้พี่เค้าก็มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้เราด้วย คือมีอยู่วันหนึ่งพี่เค้าไปนั่งดูพวกเราเล่นดนตรีที่ร้าน ตอนแรกผมก็งง เอ๊ะทำไมพี่คนนี้ นั่งดูไปยิ้มไป สุดท้ายพี่เค้าก็เรียกพวกเรามาคุยแล้วบอกว่า ชอบสไตล์การร้องและเล่นดนตรี ของพวกเรา ที่สำคัญคือพี่เค้าบอกว่า ชอบตรงที่พวกเราร้องเพลงกันได้ทุกคนเลย เลยชวนให้ลองเข้ามาคุยกับ "พี่ปอนด์ - ธนา ลวสุต" (เอ็กเซ็กคูทีฟ โปรดิวเซอร์) ซึ่ง "พี่ปอนด์" ก็บอกโอเค และให้ลองไปทำงานมาส่ง สุดท้ายเราก็เลยได้มาอยู่อาร์เอส.ฯ
ทำไมถึงใช้ชื่อ "โมโน" (MONO)
นนท์ : พี่เต็นเป็นคนตั้งให้ครับ เพราะอยากให้พวกเราเป็นทีมเดียวกัน และคำว่า "โมโน" แปลว่า "หนึ่ง" ด้วยครับ ก็คงเหมือนพวกเรา 4 คนที่รักในเสียงดนตรีเหมือนกันได้มารวมตัวกัน ตั้งแต่นั้นมาพี่ ๆ ในอาร์เอส.ฯ ทุกคนก็เรียกพวกเราว่า "โมโน" มาเรื่อย ๆ จนติดปาก สุดท้ายก็เลยใช้ชื่อ "โมโน" ครับ
แนวเพลงในอัลบั้มชุดนี้เป็นอย่างไร
เป้ง : ชุดนี้เป็น ป๊อป-ร็อก ครับ ใช้เวลาทำประมาณครึ่งปี ซึ่งชุดนี้พวกเราจะเน้นเสียงดนตรีที่ฟังสบาย ๆ ไม่หนักหน่วง ซึ่งกับความพิเศษในการทำงานของพวกเรา เราใช้เครื่องดนตรีสด ๆ ทุกชิ้นในห้องอัด และที่สำคัญนะครับเราได้เล่นดนตรีสดๆ กันเองด้วย ส่วนเนื้อหา ของเพลงส่วนใหญ่จะเป็นพูดถึงความรักในหลาย ๆ มุมมอง ซึ่งเป็นสัจธรรมของความรักคือ มีทั้งสมหวัง ผิดหวัง ซึ้ง เศร้า และเสียใจครับ อย่างเพลงแรก "อย่ามาพร้อมกัน" ที่ "งาม" เค้าเป็นคนร้อง หรือเพลง "กลัวความสูง" ที่ผมรู้สึกว่า เพลงนี้ทั้งคำร้องและทำนองเพราะมาก เมื่อ "โต" เค้านำมาร้อง ด้วยน้ำเสียงของเค้า ทำให้ผมรู้สึกว่าเพลงนี้เพราะมากยิ่งขึ้นครับ
"โมโน" มีส่วนร่วมทำงานในอัลบั้มแรก อย่างไร
งาม : ทุกขั้นตอนครับ ตั้งแต่แต่งคำร้อง ทำนอง ไปจนถึงช่วยเรียบเรียงดนตรีทุกเพลงเลยครับ คือพวกเราโชคดีที่พี่ ๆ ทุกคนเปิดโอกาสให้ทำงานกันเองเลย ทำให้พวกเรามีโอกาสที่จะนำประสบการณ์ทางดนตรีที่ได้เรียนรู้ด้วยตัวเองบ้าง จากการแนะนำของพี่ ๆ ในเวทีจริง ๆ มาใช้ในงานเพลงชุดนี้อย่างเต็มที่ ซึ่ง "พี่เต็น" เองก็จะคอยดูแลให้คำแนะนำในการทำงานของ เราทุกขั้นตอน เรียกว่าลุยไหนลุยกัน ทำให้พวกเราทุกคนได้เจอกับประสบการณ์ใหม่ ๆ และเป็นประสบการณ์ในการทำงานแบบมืออาชีพด้วยครับ
ที่บอกว่า "โมโน" มีส่วนร่วมในการแต่งเนื้อและทำนอง มีเพลงอะไรบ้าง
นนท์: เริ่มจาก "โต" ก่อนเลยนะครับ ของเค้าก็จะมี 2 เพลงคือ "ขอบคุณ" ที่เค้าแต่งทั้งคำร้อง และทำนอง รวมถึงเรียบเรียงดนตรีเองด้วยครับ อีกเพลงก็ "มองฟ้า" ที่เค้าแต่งทำนองเอง ส่วนคำร้องก็ช่วย ๆ พี่เค้าแต่งครับ แล้วก็มีอีก 2 เพลงของ "งาม" คือเพลง "ดีเท่าเดิม" กับ "ขอแก้ตัว" ที่เค้าแต่งทำนองเพลงเองครับ ส่วนของผมก็มีเพลงหนึ่งครับ ที่ผมแต่งคำร้องและทำนองคือเพลง "คำน้ำเน่า" นอกจากนี้ก็จะช่วยพี่ๆ เค้าเรียบเรียงดนตรีทุกเพลงในอัลบั้มครับ
รู้สึกอย่างไรกับวงการเพลง
งาม : ผมว่าวงการเพลงเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้จำกัดอยู่ในวงแคบ ๆ นะครับ คงเป็นเพราะเดี๋ยวนี้โลกแคบลง เทคโนโลยีของการสื่อสารก็ทันสมัยมากขึ้น สามารถลิงค์กันได้ทั่วโลก ซึ่งผมว่าก็ดีนะครับ คนฟังจะได้มีโอกาสได้เลือกฟังงานที่หลากหลายครับ ใครชอบฟังแนวไหนก็สามารถเลือกได้เลย ทั้งเพลงอังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลี และที่สำคัญนะครับ ผมว่าตรงนี้เลยทำให้คนทำเพลงทุกคนต้องพยายามพัฒนางานของตัวเองให้ได้มาตรฐานอยู่ในระดับที่ดีขึ้น เพื่อจะได้สู้กับคู่แข่งที่มีมากขึ้นได้ด้วย สำหรับผมแล้วรู้สึกดีครับที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวงการเพลงเมืองไทย รู้สึกว่าการทำงาน เพลงเนียเหมือนกับได้พูดกับคนมาก ๆ พร้อมกันผ่านทางเสียงเพลงในเวลาเดียวกันเลย
ความรู้สึกที่ได้เข้ามาอยู่ อาร์เอส.ฯ
งาม : ความรู้สึกของพวกเรา "โมโน" ก็คงจะคล้าย ๆ กันครับคือ รู้สึกดีใจ และภูมิใจมาก ๆ ครับ ที่ได้ทำความฝันให้กลายเป็นจริงได้ ขอบคุณ เฮีย และก็พี่ ๆ ทุก ๆ คนที่ให้โอกาสพวกเรา ได้เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกในบ้านอันแสนอบอุ่นอย่างอาร์เอส.ฯ และรวมถึงเปิดโอกาสให้เรา ได้มีส่วนร่วมในการทำงานในทุกขั้นตอน จนอัลบั้มนี้เสร็จสมบูรณ์ออกมาได้ด้วยดี ขอบคุณมาก ๆ ครับ และผมเชื่อนะครับว่า ยังมีอีกหลาย ๆ คนที่ฝันแบบพวกเรา ผมอยากจะบอกกับทุก ๆ คนว่า ขอให้พยายามต่อไป แล้วสักวันหนึ่งความฝันนั้นก็จะกลายเป็นจริง
ท้ายนี้อยากฝากอะไรกับแฟน ๆ บ้าง
นนท์: พวกเรา "โมโน" ก็ขอขอบคุณแฟน ๆ ทุกคนที่ให้การต้อนรับงานในอัลบั้มชุดแรกของพวกเรา ใครที่ยังไม่ได้ฟัง ก็อยากให้ลองฟังกันดูนะครับ แล้วยังไงก็บอกกันได้ครับว่าชอบตรงไหน ไม่ชอบตรงไหน เราจะได้เก็บคำติชมของทุกคนไว้ เพื่อนำไปปรับปรุงงานต่อ ๆ ไปครับยังไง ก็และพวกเราขอฝากงานในอัลบั้มชุดแรกชุดนี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ--จบ--
-พห-
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit