กรุงเทพฯ--9 พ.ค.--แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์
L.P.N. เปิดตัว "ลุมพินี เพลส วอเตอร์คลิฟ" อย่างเป็นทางการ 10-19 พฤษภาคมนี้ บนทำเลทองข้างเซ็นทรัลพระราม 3 ด้วยห้องชุดหรูพร้อมแอร์ เฟอร์นิเจอร์บิลต์อิน และชุดครัวในราคาพิเศษสุด สำหรับลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อในวันที่ 10 พฤษภาคมนี้ รับของสมนาคุณพิเศษทุกยูนิต
นายทิฆัมพร เปล่งศรีสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ภายหลังการเข้าฟื้นฟูโครงการและแก้ปัญหาของลูกค้าเก่าจนจบสิ้น โครงการลุมพินี เพลส วอเตอร์-คลิฟ พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคมเป็นต้นไป ทั้งยังมอบข้อเสนอพิเศษแก่ลูกค้าที่ให้ความสนใจจองห้องชุดในช่วงวันที่ 10-19 พฤษภาคมนี้ ด้วยราคาพิเศษในช่วงเปิดตัว เริ่มต้นที่ ตร.ม. ละ 33,500 บาท เฉพาะลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อห้องชุดในวันที่ 10 พฤษภาคม รับของสมนาคุณทุกยูนิต" กรรมการผู้จัดการ ยังได้เปิดเผยอีกว่า จากการพรีเซลโครงการดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2545 บริษัทฯ สามารถปิดการขายไปได้แล้วถึง 150 ยูนิต ด้วยกัน และจากการที่ไม่มีการเปิดตัวโครงการอาคารชุดพักอาศัยใหม่ใจกลางเมืองในลักษณะนี้มาเป็นเวลานาน จึงเชื่อว่าโครงการลุมพินี เพลส วอตอร์คลิฟ จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะจากฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งของแอล.พี.เอ็น.ในย่านพระราม 3 นี้
โครงการลุมพินี เพลส วอเตอร์คลิฟ อยู่ติดห้างเซ็นทรัล พระราม 3 บนถนนรัชดาภิเษก ซึ่งสามารถเข้าออกโครงการได้ 3 ทิศทางด้วยกัน คือ ด้านหน้าออกสู่ถนนรัชดาภิเษก มุ่งสู่ย่านท่าเรือ พระราม 4 และสุขุมวิท ด้านหลังออกได้ 2 ทางคือ ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ เชื่อมสู่สุรวงศ์-สีลม-พระราม 3 และถนนสาธุประดิษฐ์ ห่างจากจุดขึ้น-ลงทางด่วนขั้นที่ 1 และ 2 เพียง 500 เมตร พื้นที่โครงการกว่า 3 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท ประกอบด้วยอาคารชุดสูง 36 ชั้น จำนวน 4 อาคาร คืออาคาร A, B, C และ D และห้องชุดหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ (1) แบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ (2) แบบ 2 ห้องนอน 1-2 ห้องน้ำ (3) แบบ 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และ (4) แบบ 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จำนวนรวม 608 ยูนิต ในขนาดตั้งแต่ 32-125 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 1.2 ล้านบาทขึ้นไป โดยแต่ละยูนิตประกอบด้วยเครื่องปรับอากาศ ตู้เสื้อผ้าแบบบิลต์อิน (Built-in) ห้องครัวที่แยกออกเป็นสัดส่วนพร้อมเฟอร์นิเจอร์ครัวครบชุด รวมทั้ง ยังมีระเบียงชมวิวและระเบียงซักล้างอีกด้วย
อนึ่ง โครงการ "ลุมพินี เพลส วอเตอร์คลิฟ" เป็นตัวอย่างหนึ่งของการประสานความร่วมมือของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ บมจ. แสนสิริ และ บมจ. ยูนิ เวนเจอร์ ในนามบริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด เพื่อเข้าฟื้นฟูและพัฒนาโครงการโดยมี แอล.พี.เอ็น. เป็นแกนนำในการบริหารงานโครงการทั้งในด้านงานขายและงานก่อสร้าง โดยบริษัทฯ ได้เริ่มดำเนินการตรวจสอบระบบทั้งหมดในทุกยูนิตตั้งแต่เดือนธันวาคม 2544 ที่ผ่านมา จึงเชื่อมั่นได้ถึงความปลอดภัยที่สมบูรณ์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ในทุกชั้นและทุกอาคาร นอกจากนี้ ทางโครงการยังได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งขณะนี้ มีความคืบหน้าด้านงานก่อสร้างไปแล้วกว่า 80% และคาดว่าจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ในเดือนสิงหาคมและเข้าอยู่อาศัยได้ภายในปี 2545 นี้แน่นอน
ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่โทร 0-2212-7878 หรือชมห้องตัวอย่างได้ทุกวันที่สำนักงานขาย ตั้งแต่เวลา 09.00-18.00 น.
สรุปความเป็นมาโครงการลุมพินี เพลส วอเตอร์คลิฟ
"ลุมพินี เพลส วอเตอร์คลิฟ" เดิมใช้ชื่อว่า โครงการวอเตอร์คลิฟ โครงการอาคารชุดพักอาศัยภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ไทยเฮ้าส์ซิ่ง ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เริ่มเปิดตัวโครงการครั้งแรกในปี 2537 และประสบความสำเร็จด้านการตลาดอย่างสูงในขณะนั้น อันเนื่องมาจากที่ตั้งโครงการซึ่งอยู่บนทำเลที่ดีในย่านพระราม 3 อีกทั้งการออกแบบอาคารและห้องชุดที่เน้นประโยชน์ใช้สอยของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน การดำเนินงานประสบความสำเร็จและเป็นไปตามแผนงานมาโดยตลอด จนเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 รวมถึงการปิดสถาบันการเงิน 58 แห่ง ซึ่งสถาบันการเงินหลายแห่งที่ถูกปิดนั้นเป็นสถาบันการเงินที่สนับสนุนเงินกู้ค่าก่อสร้างแก่โครงการ มีผลทำให้โครงการไม่สามารถดำเนินงานต่อและได้หยุดการก่อสร้างไปในปีเดียวกันนั้นเอง
เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2544 ได้เกิดนวัตกรรมใหม่ของวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย เมื่อ 3 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บริษัท ยูนิ เวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) และอีกหนึ่งบริษัทร่วมลงทุนคือ บริษัท เยาววงศ์ จำกัด ได้ผสานความร่วมมือในการพัฒนาโครงการวอเตอร์คลิฟให้เสร็จสิ้น โดยจัดตั้งบริษัทร่วมทุนคือบริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด ขึ้น เพื่อพัฒนาโครงการภายใต้ชื่อใหม่ "ลุมพินี เพลส วอเตอร์คลิฟ" โดย แอล.พี.เอ็น.ฯ ได้รับมอบหมายให้เป็นแกนนำในการบริหารงานขายและการก่อสร้างโครงการทั้งหมด และโครงการได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน)
นอกจากการสานต่อโครงการวอเตอร์คลิฟให้เสร็จสิ้น วัตถุประสงค์หลักของการร่วมทุนอีกด้านก็คือเพื่อแก้ไขปัญหาอาคารร้างในกรุงเทพมหานคร และเป็นตัวกลางในการประสานความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาของสถาบันการเงิน ลูกค้าเก่า และเจ้าของโครงการวอเตอร์คลิฟเดิม
นับจากวันนั้น แอล.พี.เอ็น.ฯ ได้เข้าฟื้นฟูและพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการก่อสร้างและการขาย โดยในส่วนของงานก่อสร้างนั้นได้มีการกำหนดบริษัทผู้รับเหมาในทุกระบบของอาคาร การทำประกันภัยอาคารจำนวน 800 ล้านบาท รวมถึงการทดสอบประสิทธิภาพของโครงสร้างและระบบงานต่างๆ ภายในอาคาร ซึ่งปัจจุบันงานก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วกว่า 80% ของงานทั้งหมด และในส่วนของการขายนั้น บริษัทฯ ได้ดำเนินการเจรจากับลูกค้าเก่าที่ซื้อห้องชุดก่อนที่จะมีการชะลอโครงการจำนวนทั้งสิ้น 376 ราย ซึ่งมีผลตอบรับที่ดี โดยลูกค้าจำนวนมากกว่า 60% ยืนยันการซื้อ และที่สำคัญคือลูกค้าเก่ามีความเชื่อมั่นและไว้วางใจในการทำงานของบริษัทในการเข้าฟื้นฟูและพัฒนาโครงการ
หลังการเจรจากับลูกค้าเก่าเสร็จสิ้น เพื่อทดสอบความต้องการของตลาด บริษัทฯ จึงได้เปิดพรีเซลห้องชุดในโครงการตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2545 พบว่า กระแสการตอบรับของลูกค้าเป็นไปอย่างดีเกินคาด สามารถปิดการขายได้แล้วถึง 150 ยูนิต ด้วยกัน ซึ่งบริษัทฯ เชื่อว่าการตอบรับที่ดีของลูกค้าเกิดจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ (1) ความไว้วางใจต่อบริษัทผู้ร่วมลงทุนทั้งสี่แห่ง (2) ความเชื่อมั่นในประสบการณ์และชื่อเสียงของแอล.พี.เอ็น.ฯ ซึ่งเป็นผู้บริหารโครงการ (3) ทำเลที่มีศักยภาพ (4) การกำหนดราคาที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดและการแข่งขัน (5) การออกแบบโครงการที่มีคุณภาพ (6) การวางแผนการด้านการตลาดที่มีประสิทธิภาพ และ (6) ฐานลูกค้าของแอล.พี.เอ็น.ฯ ในย่านพระราม 3 ที่มีมากกว่า 50,000 รายด้วยกัน--จบ--
-อน-