เครือเบทาโกรเผยมั่นใจเป็นผู้นำธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพด้านปศุสัตว์ หลังดำเนินการโครงการผลิตวัคซีนป้องกันโรคสัตว์ปีกฯสำเร็จ

กรุงเทพ--8 ต.ค.--เครือเบทาโกร เครือเบทาโกรเผยความสำเร็จจากโครงการผลิตวัคซีนป้องกันโรคสัตว์ปีกเพื่อสนับสนุนการส่งออก เป็นก้าวแรกนำไปสู่การพัฒนางานในสายธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพอย่างเต็มรูปแบบ รอเพียงโอกาสทางเศรษฐกิจและเวลาที่เหมาะสมเพื่อขยายการลงทุน นางสาวอรอนงค์ ศิริรังคมานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส เครือเบทาโกร เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวในพิธีเปิดอาคารโครงการผลิตวัคซีนโรคสัตว์ปีกเพื่อสนับสนุนการส่งออก ณ ศูนย์ผลิตชีวภัณฑ์ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งบริษัท เบ็ทเทอร์ฟาร์ม่า จำกัด ในเครือเบทาโกรดำเนินการก่อสร้างและได้ส่งมอบให้แก่กรมปศุสัตว์ว่า เครือเบทาโกรรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในความสำเร็จของกรมปศุสัตว์ในครั้งนี้ และถือได้ว่าเป็นโอกาสอันดีที่ได้เป็นผู้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยในกระบวนการผลิตที่อยู่ในระบบปลอดเชื้อ ซึ่งนำเข้ามาใช้ในวงการปศุสัตว์ไทยเป็นครั้งแรก ทำให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ช่วยให้มีโอกาสพัฒนาบุคลากรให้สามารถทำงานในสายงานเทคโนโลยีชีวภาพได้เชี่ยวชาญยิ่งขึ้น ประสบการณ์จากการดำเนินการโครงการฯได้สร้างความมั่นใจแก่เครือเบทาโกรในการก้าวไปในธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ และเมื่อใดที่มีการเปิดประมูลโครงการในลักษณะเดียวกันนี้ เครือเบทาโกรก็มั่นใจเต็มที่ที่จะเข้าร่วมการประมูลอีก นางสาวอรอนงค์ กล่าวต่อไปว่า จากเทคโนโลยีที่เลือกใช้ทำให้เครือเบทาโกรมั่นใจว่าวัคซีนที่ผลิตจากโครงการฯจะสามารถทดแทนการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศได้มาก ถ้าผลิตเต็มกำลังการผลิตของโรงงาน คาดว่าจะมีปริมาณเหลือเพียงพอเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้ด้วย เพราะสามารถผลิตวัคซีนนิวคาสเซิลเชื้อเป็น 600 ล้านโด๊สต่อปี วัคซีนนิวคาสเซิลเชื้อตาย 30 ล้านโด๊สต่อปี วัคซีนกัมโบโรเชื้อเป็น 600 ล้านโด๊สต่อปี และวัคซีนกัมโบโรเชื้อตาย 30 ล้านโด๊สต่อปี ประกอบกับคุณภาพของวัคซีนที่ได้นั้น มีคุณภาพได้มาตรฐานเทียบเท่ากับวัคซีนที่ผลิตในต่างประเทศ เนื่องจากใช้เทคโนโลยีการผลิตเดียวกัน รวมทั้งคุณภาพของโรงงานผลิตที่ได้ออกแบบให้มีการผลิตและดำเนินการตามมาตรฐานจีเอ็มพี (Good Manufacturing Practice) “นอกจากประโยชน์ในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีแล้ว โครงการฯสามารถผลิตวัคซีนป้องกันโรคสัตว์ปีกเพิ่มขึ้นได้อีกหลายผลิตภัณฑ์ หากมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมเพื่อทดแทนการนำเข้า ทำให้ เกษตรกรสามารถเลี้ยงไก่เพื่อการส่งออกและมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งได้รับการบริการในเชิงของคุณภาพสินค้าในการดูแลคุ้มโรคให้กับการเลี้ยงไก่ มีวัคซีนที่เหมาะสมกับการใช้งานในประเทศ สามารถแก้ปัญหาได้รวดเร็ว เนื่องจากผู้ผลิตอยู่ในประเทศไทย ซึ่งจะส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการส่งออกไก่แช่แข็งของไทยพัฒนาไปได้ดีขึ้นด้วย” นางสาวอรอนงค์ กล่าวเพิ่มเติม ด้านการขยายงานในส่วนของเทคโนโลยีชีวภาพของเครือเบทาโกร นั้น นางสาวอรอนงค์เปิดเผยว่า “ในช่วงนี้เครือเบทาโกรคงยังไม่ขยายตัวในธุรกิจดังกล่าว แต่ก็ได้เตรียมความพร้อม รอโอกาสทางเศรษฐกิจที่เหมาะสมจึงจะลงทุนต่อไป ในขณะนี้นักวิชาการของเครือเบทาโกรจะดูแลโครงการนี้ให้ดีที่สุด เพราะเรายังมีความรับผิดชอบในการดูแลความเรียบร้อยของเครื่องจักรอุปกรณ์ของโครงการฯต่อไปอีก 1 ปี หลังส่งมอบโครงการฯ พร้อมกันนั้นนักวิชาการเหล่านี้ จะได้นำประสบการณ์จากการดำเนินการโครงการมาใช้พัฒนาสินค้าในธุรกิจยาสัตว์ และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพที่เครือเบทาโกรดำเนินการ” นางสาวอรอนงค์กล่าวในตอนท้าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แผนกประชาสัมพันธ์ เครือเบทาโกรโทรศัพท์ 955-0555 # 2902--จบ--

• ข่าวเบ็ทเทอร์ฟาร์ม่า
• ข่าวเทคโนโลยีชีวภาพ
• ข่าวเครือเบทาโกร
• ข่าวนครราชสีมา
• ข่าวเทคโนโลยี