พิตต์สเบิร์ก--3 ธ.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์-เอเชียเน็ท
เมื่อวานนี้คณะกรรมการของบริษัทเอช.เจ.ไฮนซ์ ได้ประกาศแต่งตั้งนายวิลเลียม อาร์. จอห์นสันขึ้นดำรงตำแหน่งประธานและซีอีโอของบริษัท ตามคำแนะนำของนายแอนโทนี่ เจ.เอฟ.โอเรียลลี่ ประธานกรรมการและซีอีโอคนปัจจุบันที่มีต่อคณะกรรมการด้านการพัฒนาการจัดการและเงินชดเชย โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย.ปีหน้า ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นปีงบการเงินของทางบริษัท ทั้งนี้ ดร.โอเรียลลี่ได้ตกลงที่จะดำรงตำแหน่งประธานซึ่งไม่ใช่ประธานบริหารของบริษัทต่อไปจนถึงการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีซึ่งจะมีขึ้นในเดือนก.ย. ปี 2000
สำหรับนายจอห์นสันวัย 48 ปีนี้จะเป็นซีอีโอคนที่ 6 ของบริษัทไฮนซ์ซึ่งมีประวัติที่ยาวนานถึง 128 ปี ซึ่งนายจอห์นสันได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการไปในเดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว
ส่วนดร.โอเรียลลี่ วัย 61 ปีนั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานของบริษัทไฮนซ์เมื่อปี 1973, ซีอีโอในปี 1979 และประธานกรรมการเมื่อปี 1987 และเงินปันผลประจำปีสำหรับผู้ถือหุ้นของบริษัทไฮนซ์นับตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมาอยู่ที่ระดับ 23 %เมื่อเทียบกับระดับ 17 % สำหรับดัชนี S&P 500 ในขณะที่ทุนจดทะเบียนของบริษัทได้เพิ่มขึ้นจากระดับ 900 ล้านดอลล่าร์ สู่ระดับ 1.9 หมื่นล้านดอลล่าร์โดยมีหุ้นที่ออกจำหน่ายน้อยลง ทั้งนี้ บริษัทจะปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้เกี่ยวกับมูลค่าเงินปันผลต่อไปในทศวรรษที่1990 โดยนับตั้งแต่ปีงบการเงิน 1990 เป็นต้นมา ทุนจดทะเบียนของบริษัทได้เพิ่มขึ้นถึง3 เท่า จาก 6 พันล้านดอลล่าร์ สู่ระดับ 1.9 หมื่นล้านดอลล่าร์ในปัจจุบัน
ในทศวรรษที่ 1980 ดร.โอเรียลลี่ได้เข้ามาบุกเบิกการดำเนินงานแบบต้นทุนต่ำ รวมทั้งการจัดการและงานด้านการตลาดทั่วโลก ทำให้บริษัทไฮนซ์กลายเป็น 1 ในบรรดาบริษัทอาหารข้ามชาติซึ่งมีเพียงไม่กี่รายเท่านั้น ทั้งนี้ ในทศวรรษที่ 1980 และ 1990บริษัทไฮนซ์ได้พัฒนาการดำเนินงานแบบใหม่ในทุกทวีปที่สำคัญซึ่งรวมไปถึงประเทศจีน,อินเดีย,อินโดนีเซีย, เกาหลีใต้, ไทย, แอฟริกาใต้, ซิมบับเว่, กาน่า, หมู่เกาะซีเชลล์, รัสเซีย,ฮังการี, สาธารณรัฐเชค, โปแลนด์, บราซิล, อาร์เจนติน่า, ตะวันออกกลาง, กรีซ, สเปนและนิวซีแลนด์
ส่วนในปี 1992 บริษัทไฮนซ์ได้เข้าซื้อบริษัทแวตตี้ส์ในนิวซีแลนด์ ซึ่งกลายเป็นจุดก้าวกระโดดที่สำคัญสำหรับตลาดในเอเชียแปซิฟิค โดยยอดขายของบริษัทไฮนซ์ในขณะนี้นั้นสูงกว่า 1 พันล้านดอลล่าร์ นอกจากนี้ การเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่ที่สุดของบริษัทไฮนซ์นั้นมีขึ้นในปี 1996 เมื่อบริษัทได้เข้าซื้อแผนกอาหารสัตว์ของบริษัทเควกเกอร์ในอเมริกาเหนือ และในขณะนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเติบโตของบริษัทในส่วนของอาหารสัตว์และการดูแลสัตว์
ในการบรรยายเกี่ยวกับการขยายตัวของบริษัทให้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ฟังในการสัมมนาเมื่อเดือนมี.ค.1995 นั้น ดร.โอเรียลลี่ได้ประกาศแผนการเติบโตทางกลยุทธ์ของบริษัทไฮนซ์ โดยจะเน้นการก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกของธุรกิจหลัก 6 ประเภทซึ่งได้แก่ ธุรกิจซอสมะเขือเทศและซอสปรุงรส, อาหารสำหรับทารก, การบริการด้านอาหาร,การควบคุมน้ำหนัก, ปลาทูน่าและอาหารสัตว์ สำหรับยอดขายประจำปีของบริษัทไฮนซ์ในแต่ละประเภทดังกล่าวนั้นสูงกว่าระดับ 1 พันล้านดอลล่าร์ และยี่ห้อของสินค้าในธุรกิจทั้ง6 ประเภทของบริษัทก็ล้วนแต่ติดอันดับ 1 หรืออันดับ 2 ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ กลยุทธ์การเข้าซื้อกิจการของบริษัทไฮนซ์นั้น มีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นการก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกของธุรกิจทั้ง 6 ประเภทดังกล่าว โดยจะเห็นได้จากการเข้าซื้อบริษัทจอห์นสัน เวสต์ ฟู้ดส์ในยุโรป, บริษัทมาร์ติน เพ็ท ฟู้ดส์ของแคนาดารวมทั้งฉลากอาหารสัตว์ซึ่งมีชื่อว่าเทคนิ-คอล แอนด์ เมดิ-คอลของบริษัท, บริษัทพุดลิสกี้ซึ่งเป็นบริษัทซอสมะเขือเทศในโปแลนด์, ยี่ห้อสินค้าและเครื่องปรุงรสสำหรับใช้ครั้งเดียวของบริษัทแฟรงค์คูเปอร์ในอังกฤษ, แผนกอาหารสัตว์ของบริษัทไทเกอร์ โอตส์ และธุรกิจซอสต่างๆของเวลลิงตันในแอฟริกาใต้
ในเดือนต.ค.1995 ดร.โอเรียลลี่ได้เสนอชื่อนายจอห์นสันต่อคณะกรรมการด้านการพัฒนาการจัดการและเงินชดเชยของบริษัทให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งคนต่อไป โดยนายจอห์นสันได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการในเดือนมิ.ย. และในเดือนก.ย.1996 ดร.โอเรียลลี่ได้ประกาศว่า บริษัทไฮนซ์จะทำการทบทวนการดำเนินกิจการทั่วโลกครั้งใหญ่เพื่อปรับปรุงการขยายตัวและกำลังการผลิตต่อไป และถัดจากนั้น 6 เดือน คือในเดือนมี.ค.ของปีนี้ ดร.โอเรียลลี่และนายจอห์นสันก็ได้เปิดตัวโครงการ Project Millennia ซึ่งเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดของบริษัทเท่าที่เคยมีมา โดยโครงการดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัทประมาณปีละ 10-12 % ไปจนถึงศตวรรษที่ 21 และเพื่อจัดสรรการผลิตทั่วโลก รวมทั้งเพื่อลดจำนวนโรงงานลงจาก 120 แห่งให้เหลือเพียง 100 แห่ง
โครงการดังกล่าวถือเป็นความสำเร็จอันโดดเด่น ซึ่งคาดว่าจะทำให้มาร์จิ้นโดยรวมของบริษัทในปีนี้เพิ่มขึ้น 2 %, ทำให้ปริมาณเงินสดหมุนเวียนเพิ่มขึ้นกว่า 1 พันล้านดอลล่าร์, ลดต้นทุนในการดำเนินงานลงกว่า 300 ล้านดอลล่าร์ และจะสนับสนุนทางด้านการตลาดแบบพิเศษให้กับยี่ห้อหรือโลโก้สินค้าที่มีชื่อเสียงของบริษัทเช่น ซอสมะเขือเทศไฮนซ์, ซุป, ถั่ว และอาหารทารก เป็นต้น
บริษัทไฮนซ์มีประธานกรรมการเพียง 4 คนเท่านั้นนับตั้งแต่ปี 1869 เป็นต้นมา โดยในปี 1987 ดร.โอเรียลลี่นับเป็นคนนอกคนแรกที่ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งดังกล่าว และในปัจจุบันดร.โอเรียลลี่ก็เป็นผู้ถือหุ้นรายบุคคลรายใหญ่ที่สุดของบริษัท โดยมีหุ้นเป็นจำนวนทั้งสิ้น 6.1 ล้านหุ้น
ส่วนนายจอห์นสันนั้นได้เข้ามาร่วมงานกับบริษัทไฮนซ์ในปี 1992 และเป็นผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดของบริษัทไฮนซ์ในสหรัฐ และต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองประธานของบริษัทในเครือ ทั้งนี้ นายจอห์นสันได้ดำรงตำแหน่งประธานและซีอีโอของบริษัทไฮนซ์ เพ็ท โปรดักส์นับตั้งแต่ปี 1988 จนถึงปี 1992 เมื่อเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นซีอีโอของบริษัทสตาร์-คิสท์ ฟู้ดส์ อิงค์
ในปี 1993 นายจอห์นสันได้เข้าร่วมงานที่สำนักงานใหญ่โลกในตำแหน่งรองประธานระดับสูงในฐานะตัวแทนบริษัทสตาร์-คิสท์, บริษัทไฮนซ์ เพ็ท โปรดัคส์ และบริษัทไฮนซ์ เอเชีย/แปซิฟิค และยังได้รับเลือกให้เป็นกรรมผู้อำนวยการอีกด้วย
ก่อนจะเข้ามาร่วมงานกับบริษัทไฮนซ์นั้น นายจอห์นสันเคยทำงานอยู่กับบริษัทแดรคเก็ทท์, บริษัทราลส์ตัน พูรีน่าและบริษัทแอนเดอร์สัน-เคลตันมาก่อน ทั้งนี้ นายจอห์นสันจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีมาจากมหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ แคลิฟอร์เนีย, ลอสแองเจลีส และระดับปริญญาโทจากมหาวิทยายูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ เท็กซัส--จบ--
--บิสนิวส์แปลและเรียบเรียง-ปส/กช--
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit