รมช.เอกพร ยอมรับ ก.แรงงานฯ รับหน้าเสื่อกรณีไทยฮีทฯ ต่อไปจะใช้ไม้แข็งกระหนาบ ด้านแรงงานสัมพันธ์ตามความจำเป็น

กรุงเทพ--1 ส.ค.--กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม นายเอกพร รักความสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ได้เปิดเผยหลังจากที่กลุ่มสมัชชาสภาแรงงานแห่งประเทศไทยเข้าพบเพื่อหารือถึงกรณีการพิพากษาของศาลกับ บริษัท ไทยฮิท เอ็กซ์เซ้นจ์ จำกัด ว่า การเข้าพบของกลุ่มสมัชชาฯ ในวันนี้ ได้ร่วมกันหารือถึงการพิจารณาคดีของบริษัทไทยฮิท เอ็กซ์เช้นจ์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งตนเห็นว่า การพิจารณาคดีดังกล่าวเป็นการพิพากษาเฉพาะกรณี ทั้งนี้เมื่อได้มีการพิจารณาถึงเนื้อหาสาระของคดีดังกล่าวแล้ว ก็จะมุมมองอยู่ 3 ประเด็น คือ กระบวนการในการดำเนินคดีดังกล่าวของศาลแรงงานกลางนั้น เป็นกระบวนการที่ไม่คำนึงถึงขั้นตอนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงาน หรือกลไกด้านแรงงานสัมพันธ์ ระหว่างความตกลงของนายจ้างกับลูกจ้างที่กระทรวงแรงงานฯ พยามส่งเสริมให้มีขึ้น โดยเป็นตัวกลางในการประนีประนอมแก่ฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างถึง 7 ครั้ง ดังนั้น เมื่อประนีประนอมกันไม่ได้ ทางฝ่ายนายจ้างจึงใช้วิธีลัดด้วยการข้ามขั้นตอนไปฟ้องร้องการเลิกจ้างพนักงานบริษัทตนที่ศาลแรงงานกลาง ทั้ง ๆ ที่ควรผ่านกระบวนการแรงงานสัมพันธ์ด้วยระบบไตรภาคีแล้วจึงจะส่งผ่านไปสู่ศาลปกครองเสียก่อน ดังนั้น ด้วยวีธีการเช่นนี้จึงดูเหมือนกับนำอำนาจของศาลแรงงานกลางมา ตัดสินแนวทางของกระบวนการบริหารนั่นเอง รมช.แรงงานฯ กล่าวต่อว่า ในส่วนของประเด็นที่สองนั้น รูปแบการใช้กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ในมาตรา 35 ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนกันอยู่ เพราะในเนื้อหาสาระสำคัญของ ม.35 นั้นมุ่งหมายที่จะให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างมีความปรองดองซึ่งกันและกัน แต่อย่างไรก็ตามในขณะนี้ได้มีการยกร่าง พรบ.แรงงานสัมพันธ์ปี 2540 ซึ่งจะมีการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พรบ.คุ้มครองแรงงานในวันที่ 31 ก.ค. นี้ ทั้งนี้แต่เดิมนั้นตนเคยคิดจะทำการประชาพิจารณ์เสียก่อน แต่ติดปัญหาเรื่องงบประมาณ ประการที่สาม ในเรื่องการคัดเลือกผู้พิพากษาสมทบศาลแรงงานกลาง ตนคิดว่าควรมีการคัดเลือกจากตัวแทนทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีการไกล่เกลี่ยปัญหามักจะไม่ได้รับความร่วมมือจากนายจ้างตัวจริง ดังนั้นตนจึงต้องให้มีการตรวจสอบกิจกรรม รวมถึงข้อมูลทุกแง่มุมของสหภาพ องค์การ ทั้งของนายจ้างและลูกจ้างเพื่อสรรหาตัวบุคคลมาเป็นตัวแทนในการคัดเลือกเพื่อเข้าไปเป็นตัวกลางในการส่งเสริมกลไกด้านแรงงานสัมพันธ์ต่อไป นายเอกพรชี้แจงเพิ่มเติมว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหาของกระทรวงแรงงานฯ ในด้านแรงงานสัมพันธ์เกี่ยวกับการเลิกจ้าง ทางกระทรวงมักจะใช้หลักการประนีประนอมยอมความเป็นหลักเมื่อมาถึงขณะนี้ ตนกลับเห็นว่า หลักการดังกล่าวไม่สามารถที่จะทำใหการแก้ปัญหาประสบความสำเร็จได้ แม้ความจริง กฎกติกากลไก หรือยุทธวิธีต่าง ๆ ที่กระทรวงแรงงานฯ พยายามใช้ดำเนินการแก้ปัญหาด้านแรงงานสัมพันธ์จะมีอยู่พร้อมมูล แต่ในกรณีข้อตัดสินของพนักงานบริษัทไทยฮีท นี้ ตนเห็นว่าต้องยกให้เป็นกรณีพิเศษจริง ๆ ที่กระทรวงแรงงานฯ ไม่สามารถเป็นตัวแทนไกล่เกลี่ยให้ได้ คงจะเป็นเพราะหน้าฉากและหลังฉากของแต่ละฝ่ายเป็นไปในทางตรงข้ามนั่นเอง ตนจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่กระทรวงจะต้องใช้มาตรการเด็ดขาดและตรงประเด็นเข้าถึงต้นตอของแหล่งปัญหามากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะสามาถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ "ที่ผ่านมากระทรวงแรงงานฯ มักจะทำงานด้วยการอิงรูปแบบการตั้งรับปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่กระทรวงมักจะใจดีในการแก้ปัญหานั้น ๆ ในขณะที่หน้าฉากและหลังฉากของแต่ละฝ่ายที่กระทรวงต้องรับหน้าเสื่อให้นั้น ไม่เหมือนกัน ดังนั้น การทำงานของกระทรวงจึงต้องเข้าไปหาปัญหาก่อนที่จะเข้ามาหาเรา หากฝ่ายนายจ้างรายใดจงใจไม่จ่ายค่าทดแทน ค่าชดเชยต่าง ๆ กรณีเลิกจ้างหรือปิดกิจการ เราจะดำเนินคดีตามกฎหมายทันที คงไม่รอผลการประนีประนอมไกล่เกลี่ยอีกต่อไปแล้วหรือข้างฝ่ายลูกจ้างหากใช้ความรุนแรงเข้าแก้ไขปัญหาแรงงานสัมพันธ์ ก็คงต้องให้ฝ่ายอำนาจบ้านเมืองเข้าระงับเหตุต่อไป" นายเอกพร กล่าวในที่สุด--จบ--

• ข่าวกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
• ข่าวการกระทรวงแรงงาน
• ข่าวเอกพร รักความสุข
• ข่าวกระทรวงแรงงาน
• ข่าวแห่งประเทศไทย