บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เผยผลประกอบการปีที่ผ่านมา (2567) กำไร 1,652 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.91% ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ เติบโต 24% หรือ 500,000 ตัน พร้อมตอกย้ำศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งและกลยุทธ์บริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ เดินหน้าเตรียมขยายกำลังการผลิตสร้างโรงงานผลิตยางแท่งและยางผสมแห่งที่ 3 ในไตรมาส 2 ด้วยงบลงทุน 2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับออเดอร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เน้นผลักดันกลยุทธ์เสริมแกร่งทางธุรกิจและสร้างความยั่งยืน
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้นำการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่าย ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง ยางผสม และสินค้าปลายน้ำแผ่นยางพาราปูพื้นคุณภาพสูง เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าผลิตอยู่ที่ 500,000 ตัน หรือยอดขายประมาณ 34,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% และพร้อมเดินหน้าด้วยกลยุทธ์เสริมความแกร่งด้านการลงทุน โดยเตรียมสร้างโรงงานใหม่ แห่งที่ 3 ซึ่งผลิตยางแท่งและยางผสม พร้อมทุ่มงบ 2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับตลาดยางพาราที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และรองรับออเดอร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนที่เป็นลูกค้าหลักมีการสั่งซื้อเพิ่มขึ้น พร้อมขยายฐานลูกค้ารายใหม่มากขึ้นในภูมิภาคเอเชียที่มีความต้องการยางพาราสูงขึ้น
NER คาดการณ์ว่าเมื่อโรงงานผลิตยางแท่งแห่งที่ 3 ก่อสร้างแล้วเสร็จจะเริ่มทยอยติดตั้งสายการผลิต โดยในปี พ.ศ. 2569 กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 675,000 ตันต่อปี (เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2568 อีก 159,400 ตัน) และในปี พ.ศ. 2570 เมื่อเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิต จะเพิ่มขึ้นเป็น 835,600 ตันต่อปี (เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2569 อีก 160,600 ตัน) สรุปแล้วโรงงานแห่งใหม่นี้จะเพิ่มกำลังการผลิตรวมของบริษัทจาก 515,600 ตันต่อปี เป็น 835,600 ตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้นทั้งหมด 320,000 ตันต่อปี คิดเป็นอัตราการเติบโต 62% ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันในตลาดโลก โรงงานแห่งใหม่นี้จึงมีบทบาทสำคัญในการผลักดันศักยภาพการผลิตของบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง รองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นทั้งจากลูกค้ารายเดิมและรายใหม่ในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย
นอกจากนี้ NER ยังส่งเสริมเกษตรกรในการปลูกยางพาราที่ได้มาตรฐานตามข้อกำหนด EUDR เพื่อให้มีวัตถุดิบเพียงพอต่อการผลิตทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ รวมทั้งปรับกลยุทธ์ด้านการลดปริมาณการป้องกันความเสี่ยง จาก 100% เป็น 80% เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร จากสถานการณ์วัตถุดิบที่มีปริมาณตึงตัว ที่ผ่านมา NER จะทำการป้องกันความเสี่ยงด้านราคา 100% ของยอดขาย ถึงแม้จะทำให้กำไรมีความสม่ำเสมอ แต่ต้องแลกด้วยการเก็บสินค้าคงคลังยางพาราที่สูง เพราะปกติต้องเก็บยางพารา 4-5 เดือน ก่อนถึงวันส่งมอบสินค้า ทำให้ NER มีมูลค่าสินค้าคงคลังสูงกว่าคู่แข่ง แต่เมื่อราคายางเป็นเทรนด์ขาขึ้น NER จะไม่ได้ประโยชน์ เพราะได้ล็อกทั้งต้นทุนและราคาขายยางพาราไปแล้ว
NER เชื่อมั่นว่าการขยายกำลังการผลิตในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงและยั่งยืนทางธุรกิจในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ผลักดันให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยางพาราระดับภูมิภาคอย่างมั่นคง พร้อมกันนี้ NER ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาและดูแลพนักงานของเราในทุกระดับอย่างต่อเนื่อง ผ่านการสร้างแรงจูงใจในการทำงาน พร้อมสนับสนุนให้พนักงานเติบโตไปพร้อมกับองค์กรอย่างมั่นคงและยั่งยืน นอกจากนี้ NER ยังดำเนินกิจกรรมทางด้าน ESG อย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนในพื้นที่ที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคม โดยยึดมั่นใน เป้าหมายหลักของการดำเนินธุรกิจ "NER สร้างคุณค่าที่มากกว่ายาง" และ วิสัยทัศน์ "เราคือผู้ผลิตยางธรรมชาติชั้นนำระดับโลก ที่มุ่งสร้างคุณค่าและอนาคตที่ยั่งยืนให้กับทุกชุมชนที่มีเรา" ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำด้านการผลิตยางธรรมชาติคุณภาพสูงที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยดำเนินธุรกิจด้วยความสุจริต โปร่งใส และยุติธรรม พร้อมตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสังคมในทุกมิติ บริษัทฯ จะเดินหน้าเติบโตอย่างมั่นคง สร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมยางพาราอย่างต่อเนื่อง นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ กล่าวในท้ายสุด
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit