"โฮมโปร" ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจที่ท้าทาย ยังคงโชว์ศักยภาพผลการดำเนินงานปี 67 ทำกำไรสุทธิ 6,503.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.96% จากปีก่อน ด้วยกลยุทธ์บริหารต้นทุนและกระตุ้นยอดขายผ่าน Omni-Channel พร้อมลุยขยายสาขาเพิ่ม 9 แห่ง รวมถึงพัฒนา Hybrid Store ผสานโฮมโปร-เมกาโฮมในที่เดียว ขยายศูนย์กระจายสินค้า ต่อยอดแพลตฟอร์มออนไลน์ และเน้นสินค้ารักษ์โลก ตอกย้ำผู้นำค้าปลีกสินค้าบ้านครบวงจร
นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร (HomePro) เปิดเผยถึงผลประกอบการในปี 2567 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับปี 2567 เท่ากับ 6,503.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.99 ล้านบาท หรือ 0.96% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวมจำนวน 72,576.52 ล้านบาท ลดลง 0.34% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนตัวลงจากภาวะหนี้ครัวเรือนสูง และต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นยังสามารถขยายตัวอยู่ที่ 26.82% เทียบกับ 26.60% ในปีก่อน
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลประกอบการปี 2567 ได้แก่
ทั้งนี้ โฮมโปร มีกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าและการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 18,223.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.89 ล้านบาท หรือ 0.32% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขาย เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 26.82% จาก 26.60% ในปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง ทั้งจากธุรกิจโฮมโปรและธุรกิจเมกาโฮม
นายวีรพันธ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2567 โฮมโปรเดินหน้าพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้น การเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างรายได้ ผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและปรับกลยุทธ์ด้านราคา รวมถึงการขยายบริการ Home Service และการพัฒนา Marketplace สำหรับสินค้ากลุ่มเฉพาะ เช่น สินค้าผู้สูงอายุ แม่และเด็ก และอุปกรณ์สำนักงาน นอกจากนี้ บริษัทยังขยายฐานลูกค้า B2B ไปยังโรงแรม ออฟฟิศ และร้านอาหาร ผ่านแพลตฟอร์มเฉพาะทาง พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานด้วยการขยายศูนย์กระจายสินค้าและติดตั้งระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ (ASRS) เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและลดต้นทุนในการกระจายสินค้า
โดยโฮมโปรยังให้ความสำคัญกับ ความยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผ่านโครงการ Trade-in ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้านำสินค้าเก่าที่ไม่ใช้แล้ว มาแลกรับส่วนลดในการซื้อสินค้าชิ้นใหม่ โดยโฮมโปรจะนำซากเก่าไปจัดการอย่างถูกวิธี เพื่อนำไปพัฒนาเป็นสินค้ารักษ์โลก (Circular Products) เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า กระเบื้อง และถุงช้อปปิ้งที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล บริษัทฯ ยังมีการตั้งศูนย์ซ่อมสินค้าเพื่อลดปริมาณขยะ และนำเสนอสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้แบรนด์ของตนเอง (ECO Choice)
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างจริงจัง โดยติดตั้ง แผงโซลาร์เซลล์ แล้วกว่า 97 สาขา และเตรียมขยายเพิ่มเติม รวมถึงนำ รถ EV มาใช้ในการขนส่งสินค้าเพื่อลดมลพิษ พร้อมเข้าร่วมเป็นสมาชิกโครงการ United Nations Global Compact (UNGC) เป็นปีที่ 3 โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน แรงงาน สิ่งแวดล้อม และต่อต้านการทุจริต โฮมโปรยังตั้งเป้าหมาย Net Zero 2050 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการดำเนินธุรกิจทั้งหมด ตอกย้ำความเป็นผู้นำค้าปลีกที่มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย
นายวีรพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมเรื่องการขยายสาขาว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นปี 2567 บริษัทฯ จะมีโฮมโปร 94 สาขา, โฮมโปรเอส 5 สาขา, เมกาโฮม 30 สาขา และโฮมโปรในมาเลเซีย 7 สาขา โดยมีการขยายสาขาใหม่รวมทั้งสิ้น 9 สาขา ในรูปแบบของสาขาโฮมโปร 6 แห่งและเมกาโฮม 3 แห่ง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เปิดสาขาในรูปแบบไฮบริดสโตร์ (Hybrid Store) เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งเจ้าของบ้านและช่างผู้รับเหมา โดยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พื้นที่และลดต้นทุนการบริหารจัดการอีก
"บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่น ทุ่มเท รวมถึงความตั้งใจ ของบุคลากรทุกระดับ ตลอดจนการสนับสนุนที่ดีจากผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มเสมอมา บริษัทฯ เชื่อว่าการเติบโตทางธุรกิจที่สร้างคุณค่าให้กับทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นลูกค้า พนักงาน คู่ค้า ผู้ถือหุ้น ตลอดจนชุมชนและสังคม เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่ช่วยผลักดันให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนเช่นกัน" นายวีรพันธ์ กล่าวสรุปในตอนท้าย
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit