SMPC มาตามนัด Q2/67 กำไรโต 45.7% โกยรายได้ 1,135 ลบ. บอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.40 บาท ส่งซิก H2 โตต่อเนื่อง

14 Aug 2024

SMPC ประกาศผลงานมาตามนัด ไตรมาส 2/67 โกยกำไร 197.35 ลบ. โต 45.7% รายได้อยู่ที่ 1,135.02 ลบ. เพิ่มขึ้น 0.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายและความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น ถังสามส่วนขนาดใหญ่ขายดี เงินบาทอ่อนค่าหนุน บอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดหุ้นละ 0.40 บาท ตอบแทนผู้ถือหุ้น กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 22 ส.ค. 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 6 ก.ย. 2567 ผู้บริหารส่งซิกแนวโน้ม H2 เติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ชูกลยุทธ์การขายโดยเน้นเพิ่มการขายผลิตภัณฑ์ถังทนความดันต่ำประเภทอื่นๆ เพิ่มมาร์จิ้น ลุยขยายตลาดในภูมิภาคที่หลากหลายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หนุนยอดขายเติบโต 20% ตามแผน

SMPC มาตามนัด Q2/67 กำไรโต 45.7% โกยรายได้ 1,135 ลบ. บอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.40 บาท ส่งซิก H2 โตต่อเนื่อง

นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC ประกอบธุรกิจผลิตถังทนความดันแบบต่างๆ โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็นถังสำหรับบรรจุแก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม และสำหรับใช้เป็นแหล่งพลังงานรถยนต์ โดยจำหน่ายภายในและต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า “SMPC” รวมทั้งรับจ้างผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าต่างๆ เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ งวดไตรมาส 2 ปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 197.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.93 ล้านบาท หรือคิดเป็น 45.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 135.42 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น อัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้น รายได้อื่นเพิ่มขึ้น และภาษีลดลง

มียอดขายรวมอยู่ที่ 1,135.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.19 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.6% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 1,127.83 ล้านบาท จากความต้องการต่อเนื่องเพื่อใช้ถังเป็นบรรจุภัณฑ์ในการขายแก๊สและทดแทนถังเดิมบางส่วน ทางด้านราคาขายราคาวัตถุดิบซึ่งเป็นเหล็ก ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 15% แต่ราคาขายใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากงวดนี้สัดส่วนการขายสามส่วนซึ่งเป็นถังขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ส่วนใหญ่เป็นถังสองส่วนซึ่งเป็นถังขนาดเล็ก นอกจากนี้ค่าเงินอ่อนค่าลง 6% ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทยังคงนโยบายและกลยุทธ์ในการขายโดยเน้นเพิ่มการขายผลิตภัณฑ์ถังทนความดันต่ำประเภทอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อคงความเป็นผู้นำในตลาด สามารถรักษาอัตราการทำกำไรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเป็นที่พอใจได้

“ผลประกอบการที่ออกมาในไตรมาส 2/2567 เป็นที่น่าพอใจทั้งรายได้และกำไร โดยกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 281.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 225.27 ล้านบาท เป็นผลจากงวดเดียวกันของปีก่อนสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังคงถดถอยส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง ในขณะที่งวดนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้น บริษัทได้รับคำสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก การแข่งขันด้านราคาลดลง นอกจากนี้ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงและต้นทุนต่อหน่วยลดลง ทำให้อัตราการทำกำไรดีขึ้น โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 24.8%” นายสุรศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ เพื่อสะท้อนความเชื่อมั่นและตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสด สำหรับผลการดำเนินงานงวด 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2567 ให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 22 สิงหาคม 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 6 กันยายน 2567

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 คาดว่ามีการเติบโตที่ดีต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ทั้งนี้บริษัทยังคงนโยบายและกลยุทธ์ในการขาย โดยเน้นเพิ่มการขายผลิตภัณฑ์ถังทนความดันต่ำประเภทอื่นๆ นอกเหนือจากถังแก๊สสำหรับใช้ตามครัวเรือนที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักในปัจจุบัน และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีผู้ผลิตน้อยรายแต่มีโอกาสเติบโตสูง เพื่อรักษาอัตราการทำกำไรของบริษัทให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ในขณะเดียวกันยังคงเร่งเข้าไปทำการตลาดในภูมิภาคที่หลากหลายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งขยายตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ถังใหม่ซึ่งพัฒนาสำเร็จ และได้รับการรับรองมาตรฐานตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มยอดขายและอัตราการทำกำไร

อย่างไรก็ดี ปี 2567 นี้ บริษัทคาดยอดขายจะเติบโตไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อน โดยการเติบโตจะมาจากสัญญาณความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เห็นได้จากคำสั่งซื้อในครึ่งปีแรกของปีนี้ ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมไปถึงการบุกตลาดถังพัฒนาใหม่ ถังขนาดใหญ่และถังประเภทอื่นที่มีอัตราการทำกำไรดี ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการกระจายความเสี่ยง รวมถึงการรักษาระดับมาร์จิ้นของบริษัทให้ดีขึ้นได้