FEMS เดินหน้าเข้า SET ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง ขาย IPO 320 ล้านหุ้น ระดมทุนขยายไลน์ผลิต-อัพเทคโนโลยี

15 Nov 2023

ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง บมจ.ฟอร์ท อีเอ็มเอส "FEMS" เสนอขาย IPO จำนวน 320 ล้านหุ้น เตรียมเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ฯ SET ระดมเงินลงทุนเครื่องจักรใหม่เสริมเทคโนโลยี ขยายกำลังการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มโซลูชั่นครบวงจร พร้อมขยายพื้นที่โรงงานและคลังสินค้า สร้างโอกาสและศักยภาพการแข่งขัน

FEMS เดินหน้าเข้า SET ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง ขาย IPO 320 ล้านหุ้น ระดมทุนขยายไลน์ผลิต-อัพเทคโนโลยี

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน บริษัท ฟอร์ท อีเอ็มเอส จำกัด (มหาชน) หรือ FEMS เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ของ FEMS ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 เรียบร้อยแล้ว

โดย FEMS จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 320 ล้านหุ้น คิดเป็น 28.57% ของจำนวนหุ้นสามัญที่จำหน่ายและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO มูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) 0.50 บาทต่อหุ้น และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี หมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON)

นายสุพล ค้าพลอยดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า FEMS มีจุดเด่นด้านบริการที่ครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากไอเดียของลูกค้า การจัดหาวัตถุดิบเพื่อการผลิต การออกแบบสายการผลิต จนถึงการผลิตสินค้าเพื่อส่งมอบให้แก่ลูกค้าตามแผน ด้วยการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล เป็นที่ยอมรับจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ควบคู่กับจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ดูแลลูกค้าแบรนด์ระดับโลกมากว่า 30 ปีของผู้บริหาร ที่สามารถประเมินแนวโน้มของธุรกิจและกระแสความต้องการของตลาดได้ชัดเจน ซึ่งภายหลังจากการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อว่าจะผลักดันให้สามารถขยายธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพและสร้างโอกาสในการเติบโตในอนาคต

ด้านนายพิชัย ดวงทวีทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟอร์ท อีเอ็มเอส จำกัด (มหาชน) หรือ FEMS ผู้ให้บริการผลิตสินค้านวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร (One-Stop Solutions) กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ FEMS นับเป็นอีกก้าวที่สำคัญที่จะยกระดับมาตรฐานของบริษัท ด้วยภาพลักษณ์ที่ดีในการบริหารงานและมาตรฐานการดำเนินงานตามมาตรการกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่โปร่งใส และตรวจสอบได้ นอกจากนี้ ยังได้รับความน่าเชื่อถือต่อลูกค้า คู่ค้าและพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ส่งเสริมการเจรจาติดต่อธุรกิจได้ง่ายมากขึ้น

โดยภายหลังการระดมทุน บริษัทจะนำเงินที่ได้ไปลงทุนเครื่องจักรเทคโนโลยีใหม่ประสิทธิภาพสูง เพื่อเพิ่มสายการผลิต รวมถึงการลงทุนปรับปรุงพื้นที่และวางระบบภายในของโรงงานและคลังสินค้าแห่งที่ 3 ซึ่งจะสนับสนุนให้ FEMS มีความพร้อมด้านศักยภาพและการขยายการผลิต เสริมโซลูชั่นต่างๆ ให้ครบวงจรมากขึ้นรองรับความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันและอนาคต และอีกส่วนหนึ่งจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจ

"การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในครั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มโอกาสการเติบโตระยะยาว จากการผลิตสินค้านวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่จำเป็นต้องพัฒนาให้ทันต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อีกทั้ง การทำงานของ FEMS ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมตามข้อกำหนดของภาครัฐ ด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคม" นายพิชัย กล่าว

ปัจจุบัน FEMS ผลิตสินค้าให้กลุ่มลูกค้าในประเทศและต่างประเทศประมาณ 70% ส่วนอีก 30% เป็นการผลิตสินค้าให้กับกลุ่มบริษัทฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น โดยบริการผลิตสินค้า 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กลุ่มที่ 1 งานประกอบแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (Printed Circuit Board Assembly: PCBA) สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ และกลุ่มที่ 2 งานผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูป (Box-Build) สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น แผงวงจรควบคุมในเครื่องปรับอากาศ เครื่องชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า เครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) เป็นต้น โดยให้บริการใน 2 รูปแบบ คือ การรับเหมาผลิต (Turn Key) และการรับจ้างประกอบ (Consign Part)

ทั้งนี้ FEMS มีทุนจดทะเบียน 560 ล้านบาท ทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 400 ล้านบาท มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิที่เหลือหลังจากหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวจะขึ้นกับกระแสเงินสด แผนการลงทุน เงื่อนไขทางกฎหมาย และจะต้องไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งผลประกอบการตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมในปี 2563 - 2565 อยู่ที่ 821.8 ล้านบาท 2,046.9 ล้านบาท และ 4,586.4 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 0.04 ล้านบาท 150.2 ล้านบาท และ 366.2 ล้านบาทตามลำดับ และในงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 2,428.1 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 159.2 ล้านบาท