บมจ.ชโย กรุ๊ป หรือ CHAYO โชว์ไตรมาส 3/66 กำไรก้าวกระโดด แตะ 87.09 ลบ. เติบโต 103.76% หนุนกำไร 9 เดือนแตะ 308.15 ลบ. เติบโต 70.96% พร้อมเปิดแผน Spin-Off หุ้นไอพีโอ "ชโย แคปปิตอล" CCAP ลงกระดาน mai วางแผนนำเงินขยายธุรกิจ เติมขีดความสามารถการแข่งขัน-การขยายธุรกิจ -สร้างโอกาสการเติบโตทั้ง Organic Growth และ Inorganic Growth
นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน ธุรกิจเจรจาติดตามเร่งรัดหนี้สิน ธุรกิจปล่อยสินเชื่อ และกิจการศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2566 (สิ้นสุด 30 กันยายน 2566) ว่า มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 87.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.76% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3/2565 ขณะที่กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 อยู่ที่ 308.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70.96% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยทั้งนี้กำไรสำหรับงวด 9 เดือนสูงกว่ากำไรทั้งปีของปี 2565 แล้ว (ทั้งนี้กำไรทั้งปีในปี 2565 มีจำนวนเท่ากับ 274.46 ล้านบาท) โดยสาเหตุของการเพิ่มขึ้นของกำไรส่วนใหญ่เป็นผลมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นและกำไรจากการขายจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ CHAYO มีรายได้รวมจากการดำเนินงานของบริษัท ประจำไตรมาส 3/2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 376.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.3% จากไตรมาส 3/2565 โดยสาเหตุการเพิ่มขึ้นของรายได้ส่วนใหญ่เกิดจาก การเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อแก่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพและรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมจำนวน 110.69 ล้านบาท และ 7.67 ล้านบาทตามลำดับ นอกจากนี้ในไตรมาส 3/2566 มีรายได้จากธุรกิจบริการจัดหาคนอีก จำนวน 4.66 ล้านบาท
สำหรับงวด 9 เดือนแรก บริษัทมีรายได้รวม 1,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.03% โดยส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ จำนวน 338.28 ล้านบาท และการเพิ่มขึ้นของรายดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมจำนวน 25.57 ล้านบาท
สำหรับ 9 เดือนปี 2566 บริษัทมียอดจัดเก็บจากหนี้ที่ไม่มีหลักประกันและยอดรายได้จากการขายหลักประกันของหนี้ด้อยคุณภาพจำนวน 302.48 ล้านบาท ซึ่งมากกว่างวดเดียวกันของปีก่อน อยู่จำนวน 68.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% โดยที่ยอดจัดเก็บหนี้ชนิดไม่มีหลักประกันยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมาจากการซื้อพอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพชนิดไม่มีหลักประกันมาบริหารเพิ่มเติมมากอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้ปีนี้บริษัทมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
นายกิตติ ตั้งศรีวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ("บริษัท") ครั้งที่ 7/2566 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 ได้มีมติอนุมัติแผนการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ของบริษัท ชโย แคปปิตอล จำกัด ("CCAP") ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท (บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 71.25% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด) โดยการเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และการนำหุ้นของ CCAP เข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ("แผนการ Spin-Off")
ภายใต้แผนการ Spin-Off ในครั้งนี้ CCAP คาดว่าจะดำเนินการยื่นคำขออนุญาตเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ภายในปี 2567 และเมื่อได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดย CCAP คาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป และผู้ลงทุนประเภทอื่นๆ รวมทั้งหมดคิดเป็นจำนวนไม่เกินร้อย 25 ของทุนชำระแล้วทั้งหมดของ CCAP ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)
ทั้งนี้ การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป และผู้ลงทุนประเภทอื่นๆ จะส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทใน CCAP ลดลงจากเดิม 71.25% เหลือ 53.44% ของทุนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ซึ่ง CCAP จะยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทเช่นเดิม
"ตามที่บริษัทมีแนวทาง และแผนในการดำเนินธุรกิจโดยการแบ่งแยกธุรกิจการปล่อยสินเชื่อทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันออกจากบริษัทอย่างชัดเจน โดยบริษัท และบริษัทย่อยของบริษัทที่ไม่ใช่บริษัทในกลุ่ม CCAP จะประกอบธุรกิจลงทุนและบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ธุรกิจให้บริการเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้ ธุรกิจร่วมลงทุนและหรือธุรกิจอื่นที่ไม่เป็นการแข่งขันกับ CCAP ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสามารถและศักยภาพด้านการเงินของกลุ่มบริษัท จึงเห็นควรดำเนินการให้ CCAP เป็นบริษัทหลัก (Flagship Company) ของกลุ่มบริษัทในการดำเนินธุรกิจการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง(1) ธุรกิจการปล่อยสินเชื่อ ทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน และ(2) ธุรกิจให้บริการเบิกเงินเดือนล่วงหน้า" นายกิตติกล่าว
CCAP ดำเนินธุรกิจปล่อยสินเชื่อ ทั้งแบบที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน (Nano Finance) อัตราดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 33% ต่อปี และธุรกิจปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มิใช่สถาบันการเงิน (Personal Loan) อัตราดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 25% ต่อปีภายใต้การควบคุมของธนาคารแห่งประเทศไทย
นายกิตติ กล่าวด้วยว่า การนำ CCAP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นการเพิ่มช่องทางการระดมทุนให้กับ CCAP ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในรูปแบบต่างๆ ด้วยตนเอง ทำให้ CCAP มีความยืดหยุ่นและความคล่องตัวในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการขยายธุรกิจของ CCAP เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทั้งในลักษณะที่เป็นไปตามปกติของธุรกิจ (Organic Growth) และการเติบโตแบบก้าวกระโดด (Inorganic Growth)
เขากล่าวทิ้งท้ายว่า การเข้าระดมทุนครั้งนี้ CCAP จะได้รับเงินทุนจากการเสนอขายหุ้น IPO เพื่อขยายธุรกิจในอนาคต และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รวมถึงใช้ในธุรกิจของบริษัทและชำระคืนเงินกู้ยืม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอนาคต ซึ่งยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์และชื่อเสียงของ CCAP ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมไปถึงเพิ่มโอกาสในการแสวงหาบุคลากรและ/หรือพันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Partner) ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ ซึ่งจะสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่ CCAP ในอนาคต
HTML::image(ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit