บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER) โชว์ผลงานงวด 9 เดือนแรกรายได้แตะ 7,644.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.35 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนรายได้ 7,121 ล้านบาท ผลจากการรับรู้รายได้โครงการ " SPP HYBRID - โรงไฟฟ้าพลังงานขยะ จ.หนองคาย - โรงไฟฟ้าพลังงานลม ฟากซีอีโอ "จอมทรัพย์ โลจายะ" ระบุรักษากำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ระดับ81% ของรายได้ โค้งสุดท้ายเตรียม COD โครงการพลังงานลมในประเทศเวียดนาม กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ เดินหน้ากลยุทธ์บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SUPER) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 (สิ้นสุด 30 ก.ย.66) บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 7,644.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.35 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 7,121 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 55.83 ล้านบาท
สำหรับรายได้รวมเพิ่มขึ้นดังกล่าว ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายไฟที่มากขึ้นของโครงการที่บริษัทฯ ลงทุน ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า SPP Hybrid ขนาดกำลังการผลิต 16 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในจังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งร่วมกับแบตเตอรี่ ผลิตและขายไฟฟ้าได้ในระยะเวลา 24 ชั่วโมง โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากขยะ ของบริษัท หนองคายน่าอยู่ จำกัด หรือ NKY ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ หรือ COD ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งมีปริมาณซื้อขายไฟตามสัญญา (PPA) จำนวน 6 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานลม ขนาดกำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์
" พอใจกับผลงานที่ออกมา 9 เดือนแรกปีนี้ SUPER มีรายได้รวม 7,644.57 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 7.35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนภายใต้แรงกดดันจากอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย รายได้เพิ่มขึ้นมาจากปริมาณการขายไฟที่เพิ่มขึ้น เป็นโครงการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ต้นปี 2566 อย่างโครงการ SPP HYBRID ขายไฟฟ้าได้ 24 ชั่วโมง ฯลฯ ขณะที่ตัวเลขกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) งวด 9 เดือนอยู่ที่ 5,976.29 ล้านบาท หรือ EBITDA margin ในอัตรา 81% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 5,651,45 ล้านบาท " นายจอมทรัพย์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/2566 มองว่าธุรกิจยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าสามารถจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ได้อีกราว 40 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เวียดนาม "Soc Trang" กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์กับมหาวิทยาลัยมหิดล กำลังการผลิตประมาณ 12 เมกะวัตต์
นายจอมทรัพย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทฯคาดว่าจะรักษาเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 10% หรือ 10,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 9,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน บริษัทฯ เดินหน้าขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ในโครงการโรงไฟฟ้าต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายใน 3 ปีข้างหน้า จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ามากกว่า 3,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม 1,665 เมกะวัตต์ รวมทั้งการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุน (Strategic Partner) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit