ธนาคารทิสโก้เปิด 3 ธีมลงทุนเอาชนะปัจจัยลบปี 2567 ได้แก่ 1. สินทรัพย์ผู้ชนะ (The Asset Winners) คือ บอนด์ต่างประเทศ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) 2. อุตสาหกรรมผู้ชนะ (The Sector Winners) คือ เฮลธ์แคร์ และเทคโนโลยี และ 3. ประเทศผู้ชนะ (The Country Winners) คือ เอเชียเหนือ และเวียดนาม ชี้เพิ่มโอกาสร้างกำไรแม้เศรษฐกิจชะลอ ดอกเบี้ยกลับทิศ และกำไรบริษัทถูกปรับลด
นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ Head of Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คาดว่าเศรษฐกิจโลกปี 2567 จะชะลอตัวเมื่อเทียบกับปี 2566 เพราะนโยบายการเงินที่เข้มงวดที่สุดในรอบหลายทศวรรษได้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมเศรษฐกิจชัดเจน และทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกมีโอกาสถูกปรับลด (Downgrade) ตามสภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อได้มีแนวโน้มปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องในปี 2566 ทำให้ธนาคารทิสโก้คาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบวัฏจักรเศรษฐกิจนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว และจะเริ่มเห็นธนาคารกลางต่างๆ ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2567 นำไปสู่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) เปลี่ยนทิศเป็นขาลง จากสถานการณ์ข้างต้น ธนาคารทิสโก้จึงแนะนำการลงทุน 3 ธีม ดังนี้
1. สินทรัพย์ผู้ชนะ (The Asset Winners) ได้แก่ ตราสารหนี้ (Bond) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอและได้ประโยชน์เมื่อ Bond Yield กลับทิศเป็นขาลง โดยผู้ลงทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้มีโอกาสรับผลตอบแทนจากทั้งอัตราผลตอบแทนเมื่อถือจนครบกำหนดอายุ (YTM) ที่อยู่ในระดับสูง และได้รับส่วนต่างจากราคาหน้าตั๋วที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อธนาคารกลางปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกด้วย
ซึ่งธนาคารทิสโก้แนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ภาคเอกชนอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AA- ขึ้นไป มีอายุเฉลี่ยระยะยะกลางถึงยาว และอยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และอังกฤษ โดยคาดว่าจะได้รับอัตราผลตอบแทนเมื่อถือจนครบกำหนดอายุ (YTM) มากกว่า 5% และเพิ่มโอกาสรับส่วนต่างราคาหน้าตั๋ว กว่า 10%
อีกสินทรัพย์หนึ่งก็คือ REITs ที่ในช่วงปี 2565 ถึง 2566 ราคาปรับตัวลดลงราว 20-30% จากภาวะเงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลก จนปัจจุบันมูลค่า (Valuation) ของ REITs อย่าง สหรัฐฯ สิงคโปร์ และไทยกลับมามีความน่าสนใจ โดยซื้อ-ขายอยู่ในระดับอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (Price to Book Value) ที่ -2 S.D. ที่ 1.86, 0.87, และ 0.80 เท่า ตามลำดับ ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี โดยเฉพาะ REITs ที่เป็นพื้นที่ที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจสูง (CBD) ที่มีความต้องการใช้งานสูง ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ และได้ประโยชน์จากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปตามเมกะเทรนด์โลก เช่น data center, industrial, warehouse, wellness
2. อุตสาหกรรมผู้ชนะ (The Sector Winners) ได้แก่ หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (Technology) เพราะผลประกอบการมักจะไม่ผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจ เป็นกลุ่มสินค้าและบริการที่มีความต้องการในการใช้งานอยู่ในระดับสูงและเติบโตตามเมกะเทรนด์ของโลก โดยที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ราคายังปรับขึ้นน้อยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก สวนทางกับภาพรวมการเติบโตของผลประกอบการปี 2567 ของหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ที่สูงที่สุดถึง 18.8% เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น
สำหรับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เน้นให้เลือกลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ A.I. เพราะเป็นเทคโนโลยีที่ส่งเสริมเชิงบวกต่อองค์กรมากที่สุดในหลายอุตสาหกรรม นอกจากนี้ แม้ว่าราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้นมาแล้วในปีนี้ แต่เรามองว่ายังเป็นหุ้นที่ยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Undervalue) เพราะผลประกอบการในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตสูงถึง 17% และในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาเป็นกลุ่มที่ได้รับการปรับเพิ่มประมาณการณ์กำไรปี 2567 ถึง 8.5% สูงที่สุดเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น
3. ประเทศผู้ชนะ (The Country Winners) ได้แก่ หุ้นกลุ่มประเทศกลุ่มเอเชียเหนือ โดยเฉพาะเกาหลีใต้ และไต้หวัน และหุ้นประเทศเวียดนาม เพราะเป็นประเทศที่มีปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตและมี อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของตลาดสูงกว่า 20%
โดยตลาดหุ้นกลุ่มเอเชียเหนือ เป็นกลุ่มประเทศต้นน้ำที่สำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และ Semiconductor โดยเฉพาะเกาหลีใต้ เห็นได้จากรัฐบาลเกาหลีใต้ได้พัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรม (Innovation Ecosystem) และกฎเกณฑ์ข้อบังคับให้สอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรม ส่งผลให้บริษัทในเกาหลีมีการเติบโตแบบ Scaleup ราว 376 บริษัท โดยที่ราว 25% ของบริษัทเหล่านี้เน้นพัฒนาเทคโนโลยี A.I. อีกทั้ง Bloomberg ยังคาดว่าในปี 2567 กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในเกาหลีใต้จะกลับมาขยายตัวที่ 54% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) ขณะที่ปัจจุบันกองทุนส่วนใหญ่ยังคงลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight) ในเกาหลีใต้เมื่อเทียบกับดัชนีอ้างอิง ทำให้มีโอกาสที่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้จะได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินทุนไหลเข้า (Fund flows)
ด้านตลาดหุ้นเวียดนาม มีปัจจัยบวกคือจากอัตราการเติบโตของ EPS ในปี 2567 ที่โดดเด่นถึง 29.6% YoY สูงเป็นลำดับต้นๆ ของโลก ทำให้อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นล่วงหน้า (Forward P/E) ของตลาดหุ้นเวียดนามยังซื้อขายอยู่ในระดับที่ต่ำเพียง 9.39 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงวิกฤต COVID-19 และช่วงที่มีการปราบปรามคอร์รัปชันกับวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปี 2565 นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเวียดนามยังได้รับอานิสงส์จากอัตราดอกเบี้ยที่กลับมาเป็นขาลง ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนรายย่อยที่เป็นผู้เล่นหลักของตลาดโยกย้ายเม็ดเงินจากเงินฝากธนาคารมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะได้รับ Fund Flows จากนักลงทุนต่างชาติจากประเด็นการเลื่อนสถานะตลาดเป็น Emerging Market ที่จะช่วยหนุน Valuation ตลาดให้ขึ้นไปซื้อขายในระดับค่า P/E ที่สูงขึ้นในอนาคต
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit