เบเยอร์ จัดงาน Beger Expo 2023 ตอกย้ำความสำเร็จด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม แสดงวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ และนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมปี 2024 ปลื้มได้รับฉลากลดโลกร้อน เป็นรายแรกและรายเดียวในกลุ่มธุรกิจสีทาอาคาร จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก พร้อมกางแผนงานผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม พัฒนาระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนองค์กร Low Carbon Emission
เบเยอร์ ผู้นำสีนวัตกรรมรักษ์โลก รักคุณ ต่อยอดความสำเร็จจากงานไม้ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจ เป็นงานสีทาอาคารที่ได้รับการยอมรับ และมีความโดดเด่นด้านการเป็น นวัตกรรมสีทาอาคาร โดยมีผลิตภัณฑ์ "เบเยอร์คูล" เป็นสินค้าเรือธง ซึ่งพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบสนองต่อ ภาวะเรือนกระจกที่เป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกขณะนี้ แสดงวิสัยทัศน์ทางธุรกิจและนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมของปี 2024 เพื่อตอกย้ำการดำเนินธุรกิจภายใต้ปณิธาน Eco-Wellness Innovation สีนวัตกรรม รักษ์โลก รักคุณ พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำในการส่งมอบสินค้าที่เป็น Green Product เต็มรูปแบบในอนาคต และเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ
ดร.วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ กล่าวว่า การจัดงาน Beger Expo 2023 ครั้งนี้เป็นการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัทในรอบ 10 ปี เพื่อฉลองความสำเร็จจากการมุ่งมั่นทำงานภายใต้ปณิธาน Eco-Wellness Innovation ที่วางรากฐานอย่างแข็งแกร่งมาอย่างยาวนานเพี่อผลักดันบริษัทไปยังเป้าหมายการขับเคลื่อนสู่ธุรกิจสีเขียว (Green Business) อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน พร้อมบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ จำนวน 5,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าภายในปี 2032 และเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ทางธุรกิจและนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมปี 2024 เรายังคงมุ่งมั่นที่จะเติบโตไปอย่างยั่งยืนด้วยการสร้างระบบนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพทั้งระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ภายใต้การบริหารจัดการระบบนิเวศเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนของเบเยอร์
ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน Circular Economy ภายใต้การบริหารจัดการระบบนิเวศเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนของเบเยอร์ เริ่มต้นด้วยการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดทุกขั้นตอน ตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ ให้มั่นใจว่าตลอดทั้งกระบวนการผลิตไม่มีของเสียจากการผลิตที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ให้ความสำคัญกับการเลือกใช้ทรัพยากรและวัตถุดิบหมุนเวียนที่สอดคล้องกับการทำงาน พร้อมด้วยระบบการจัดการของเสียต่าง ๆ ที่เหลือจากกระบวนการผลิต ดังนั้นเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญกับระบบการผลิตที่จะผลิตวัตถุดิบต้นน้ำเอง เพื่อให้เกิดกระบวนการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง ลดใช้ทรัพยากรสิ้นเปลือง ลดการใช้พลังงาน ลดระยะเวลาการผลิต 58% และส่งผลต่อกระบวนการผลิตที่ได้ประสิทธิภาพสูงขึ้นราว 200%
Green Production นวัตกรรมกระบวนผลิตที่โดดเด่นภายใต้ระบบ AVID (Automatic Vacuum Inline Dispersion) เทคโนโลยีในรูปแบบอินไลน์อัตโนมัติระบบสุญญากาศ เป็นรายแรกและรายเดียวที่ใช้ระบบนี้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ให้คุณภาพสูงกว่าระบบการผลิตทั่วไป ลดความสิ้นเปลืองของการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ เลือกใช้ทรัพยากรทดแทนจากธรรมชาติเลือกใช้พลังงานสะอาด พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ ไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ทำให้สามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าถึง 85.39% ต่อปี (เทียบกับการผลิตระบบเดิม) พร้อมขับเคลื่อนองค์กรสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
Green Product ในอนาคตของเบเยอร์จะมุ่งเน้นในเรื่อง ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติทดแทนการใช้ปิโตรเลียมเคมี ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยกับผู้ใช้งานและผู้อยู่อาศัย ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในบ้าน และทุก ๆ ผลิตภัณฑ์จะเป็นผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ ซึ่งผ่านการคำนวณและรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint Product) อีกทั้งเบเยอร์ยังตั้งเป้านโยบายด้าน Carbon Neutrality ภายในปี 2050 โดยบริษัทมีแผนสำหรับงานส่วนนี้เพื่อกระตุ้นการตระหนักรู้ และสร้างความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม Low Carbon Emission
จากทิศทางการทำงานปัจจุบัน ทำให้เบเยอร์ได้รับรางวัลดีเด่น ด้านพลังงานสร้างสรรค์ ( Thailand Energy Awards 2021) สำหรับกระบวนการผลิตสีแบบครบวงจร จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน ได้รับการรับรองฉลากลดโลกร้อน ซึ่งเป็นรายแรกและรายเดียวในกลุ่มธุรกิจสีทาอาคาร จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งรางวัลและการรับรองเหล่านี้เป็นสิ่งการันตีได้ว่าเบเยอร์คือองค์กรขับเคลื่อนสู่ธุรกิจสีเขียวด้วยนวัตกรรม อย่างแท้จริง