บมจ.ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT) พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "สมาร์ท อาย โปร" (Smart Eye Pro) พัฒนาจากเทคโนโลยีการขับขี่ที่มีความปลอดภัยขั้นสูงเป็นรายแรกในไทย ฟากบิ๊กบอส "ทศพล คุณะเพิ่มศิริ" ระบุครึ่งแรกของปี 66 ความต้องการใช้ระบบติดตามยานพาหนะ (GPS Tracking) คึกคักต่อเนื่อง มั่นใจผลิตภัณฑ์ใหม่จะช่วยสนับสนุนมาร์จิ้นเพิ่ม ผลักดันผลงานปีนี้เติบโตเข้าเป้าระดับ 10-15%
นายทศพล คุณะเพิ่มศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (DTCENT) ผู้นำในการให้บริการระบบ GPS Tracking อันดับ 1 ในประเทศไทย (อ้างอิงจากข้อมูลกรมการขนส่งทางบกในเดือนมกราคม 2565) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "สมาร์ท อาย โปร" (Smart Eye Pro) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการขับขี่ที่มีความปลอดภัยขั้นสูง ที่ได้พัฒนาโดยฝีมือของคนไทย ซึ่งบริษัทฯ ถือเป็นผู้ประกอบการรายแรก ที่ได้พัฒนาระบบประมวลผลแบบ AI ช่วยวิเคราะห์และแจ้งเตือนพฤติกรรมเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยที่ได้รับการรับรอง จากกรมการขนส่งทางบก
Smart Eye Pro ประกอบด้วย ADAS (Advanced Driver Assistant Systems) ระบบที่ช่วยให้คนขับรถสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น และ DMS (Driver Monitoring System) ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ใช้รถใช้ถนน และช่วยลดความเสียหายจากอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ ระบบประมวลผลแบบ AI ยังสามารถใช้วิเคราะห์ด้านต่างๆ อีกมากมาย เพื่อให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า เช่น ระบบตรวจจับป้ายทะเบียน ALPR : Advance License Plate Recognition, ระบบจดจำใบหน้า Face Recognition, Yard Management / Container number Recognition, Human detection / Zone restriction, Backhoe Behavior Detection เป็นต้น เพื่อเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนตัว รถขนส่งสินค้า และรถโดยสารสาธารณะ
"DTCENT เราเป็นผู้เชี่ยวชาญในการนำเทคโนโลยี AI มาพัฒนาเป็นอุปกรณ์ ที่ช่วยตรวจจับความปลอดภัยของผู้ขับขี่รถทุกประเภท โดยมีการพัฒนาให้ตอบโจทย์ความต้องการกับลูกค้ามากที่สุด โดยเริ่มทดลองใช้กับกลุ่มลูกค้าเดิม และมีการขยายไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่อีกด้วย มั่นใจว่า จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้ผลงานในปีนี้เติบโตที่ 10-15% ได้อย่างแน่นอน" นายทศพลกล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DTCENT กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 คาดว่า ยังมีทิศทางที่ดี เนื่องจากความต้องการใช้ระบบติดตามยานพาหนะ (GPS Tracking) มีเพิ่มมากขึ้น จากธุรกิจท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจน ภาคการขนส่งสินค้า การเดินทางกลับมาเป็นปกติแล้ว
ทั้งนี้ บริษัทฯ เร่งเปิดศูนย์บริการและขายสินค้า GPS Tracking ในสถานีบริการน้ำมันเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้ามาใช้บริการได้สะดวกและรวดเร็ว และสามารถเดินทางไปยังถนนเส้นหลักได้ ตั้งเป้าหมาย 8 แห่งภายในปีนี้ พร้อมกันนี้ ยังมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อสนับสนุนการใช้งานในธุรกิจ GPS และ การพัฒนาซอฟต์แวร์อื่นๆ ตามความต้องการของลูกค้า
ในส่วนของความคืบหน้าการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง กับธุรกิจหลัก ในรูปแบบการทำ M&A ขณะนี้ อยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกับบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชนฯ ประมาณ 4-5 บริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่ดี คาดว่า จะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้
พร้อมกันนี้ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นใหม่ IoT Solution รองรับการขยายโครงการของภาครัฐ เช่น งานโครงการด้านเมืองอัจฉริยะ (SMART CITY) ตามเทศบาลต่างๆ และ ระบบ AI อย่าง BAMS (Business Activity Management System) ขณะนี้ อยู่ระหว่างการทดสอบการใช้ระบบ รวมทั้ง ระบบบริหารจัดการน้ำ และระบบ BIM (Building Information Modeling), EV Platform, Logistics Demand-Supply Matching Platform ซึ่งคาดว่า จะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้
สำหรับแผนการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนเป็นการนำโมเดล ระบบ GPS Tracking และ IoT Solution ร่วมกับพันธมิตรในต่างประเทศ ขณะนี้ อยู่ระหว่างการศึกษา เจรจาความเป็นไปได้ทางธุรกิจ และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ คาดว่า จะเห็นความชัดเจน 1-2 แห่งภายในปีนี้
ขณะเดียวกัน ความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ประกอบด้วย บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น (YES) วางแผนที่จะพัฒนาให้บริษัทฯ เป็น Tier 1 Supplier ในงาน OEM สำหรับอุปกรณ์ GPS Tracking และ Telematics ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาจจะต้องใช้เวลาในการพัฒนาสินค้าร่วมกัน และคาดว่า จะเห็นความชัดเจนภายในปีหน้าเพิ่มขึ้น ส่วนบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด (BRS) ขณะนี้ ร่วมวางแผนงานการดำเนินธุรกิจ ในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และพัฒนาผลิตภัณฑ์ Supply Chain Solutions ใหม่ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้กับบริษัทฯ
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit