"เรดฮิลล์" เดินหน้าโครงการทดลองรักษาอาการบาดเจ็บจากรังสีนิวเคลียร์ด้วยยาโอพากานิบ พร้อมเผยแพร่ข้อมูลการศึกษาที่น่าพอใจ

ข้อมูลขั้นพรีคลินิกที่แข็งแกร่งซึ่งถูกตีพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ในวารสารนานาชาติว่าด้วยวิทยาศาสตร์โมเลกุล จากการศึกษายาโอพากานิบในร่างกายที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐ จำนวน 8 ฉบับ ได้สนับสนุนศักยภาพของยาโอพากานิบในการรักษาอาการบาดเจ็บจากรังสีนิวเคลียร์ในมาตรการรับมือทางการแพทย์สำหรับวัสดุที่เป็นภัยต่อความมั่นคงภายในประเทศ และการรักษาด้วยรังสีต้านเนื้องอก

ในฐานะยาเม็ดโมเลกุลขนาดเล็กแบบรับประทานที่มีความเสถียรสูงและมีอายุการเก็บรักษานานกว่า 5 ปี ยาโอพากานิบนั้นง่ายต่อการดูแลและการแจกจ่าย สนับสนุนการกักตุนยาส่วนกลางโดยรัฐบาลสำหรับใช้ในเหตุการณ์กัมมันตภาพรังสีนิวเคลียร์ที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

ผลการศึกษาการป้องกันอาการบาดเจ็บจากกัมมันตภาพรังสีของยาโอพากานิบนั้นไม่จำกัดอยู่แค่เพียงวัตถุกัมมันตภาพรังสีหรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเท่านั้น ต่างจากตัวเลือกในการรักษาในปัจจุบันอย่างเม็ดไอโอดีน ในทางกลับกัน กลไกการออกฤทธิ์ของยาโอพากานิบเชื่อว่าสามารถยับยั้งความเป็นพิษของรังสีที่แตกตัวเป็นไอออนและความเสียหายจากการอักเสบของเนื้อเยื่อปกติ และยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดให้ทนทานต่อความเสียหายจากรังสี ซึ่งอาจนำไปสู่อัตราการรอดชีวิตที่เพิ่มขึ้นและอาการเจ็บป่วยที่ลดลง

การสังเกตจากแบบจำลองภายในร่างกายที่เน้นระบบทางเดินอาหารหลายตัวระบุว่า ยาโอพากานิบอาจปกป้องเนื้อเยื่อปกติจากความเสียหายจากรังสีที่แตกตัวเป็นไอออนหรือการฉายรังสีมะเร็ง เพิ่มฤทธิ์การต่อต้านเนื้องอกและการตอบสนองต่อเคมีบำบัด เพิ่มความทนทานต่อโรคและอัตราการรอดชีวิต

การศึกษาอิสระภายนอกร่างกายเกี่ยวกับความสามารถในการป้องกันรังสีของยาโอพากานิบในไขกระดูก ยังแสดงให้เห็นถึงอัตราการรอดชีวิตที่เพิ่มขึ้นจากการถูกรังสีทั่วร่างกายที่เป็นภัยต่อชีวิตและกึ่งเป็นภัยต่อชีวิต

การศึกษาอื่นได้ริเริ่มขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้โดยเรดฮิลล์ และหุ้นส่วนอย่างอโพจี ไบโอเทคโนโลยี คอร์ปอเรชัน เพื่อประเมินผลการป้องกันของโอพากานิบต่อความเป็นพิษทางโลหิตวิทยาและไตที่เกิดจากรังสี

อ้างอิงจากคำแนะนำขององค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับยาโอพากานิบ และการประชุมหารือร่วมกับองค์การและยาแห่งสหรัฐอเมริกา เรดฮิลล์คาดว่าการพัฒนายาโอพากานิบในฐานะมาตรการรับมือทางการแพทย์สำหรับวัตถุนิวเคลียร์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงภายในประเทศ จะสอดคล้องกับกฎการทดลองยาในสัตว์ ที่ซึ่งจะถูกนำมาใช้เมื่อการทดลองทางคลินิกในมนุษย์ไม่เป็นไปตามหลักจริยธรรมหรือไม่สามารถทำได้ ทั้งนี้ การอภิปรายเกี่ยวกับการสนับสนุน เงินทุน และเส้นทางการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อการอนุมัติได้มีขึ้นร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลอื่น ๆ แล้ว

ผู้สนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ยาที่ได้รับการอนุมัติในฐานะมาตรการรับมือทางการแพทย์ จะได้รับสิทธิ์ในการยื่นขอต่อองค์การอาหารและยาสหรัฐเพื่อเร่งกระบวนการพิจารณาอนุญาต

การพัฒนายาโอพากานิบยังคงดำเนินต่อไปสำหรับในแง่การรักษาโรคโควิด-19 การบ่งชี้การต้านไวรัสและมะเร็งเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับแพร่ระบาดอื่น ๆ ทำให้โอพากานิบมีสถานะที่แข็งแกร่งในการเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ตามข้อบ่งชี้ต่าง ๆ

เรดฮิลล์ ไบโอฟาร์มา (RedHill Biopharma Ltd.) (Nasdaq: RDHL) ("เรดฮิลล์" หรือ "บริษัท") ซึ่งเป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์เฉพาะทาง ประกาศเร่งการพัฒนายาโอพากานิบ (opaganib) ในโครงการป้องกันการบาดเจ็บจากรังสีและการฉายรังสีรักษามะเร็ง โดยวารสารนานาชาติว่าด้วยวิทยาศาสตร์โมเลกุล (International Journal of Molecular Sciences) ในหัวข้อ "โอพากานิบและการป้องกันภาวะเป็นพิษที่เกิดจากรังสี: ข้อบ่งชี้ด้านความมั่นคงภายในประเทศและการฉายรังสีเพื่อต่อต้านเนื้องอก" (Opaganib Protects against Radiation Toxicity: Implications for Homeland Security and Antitumor Radiotherapy) ได้อธิบายผลการศึกษาวิจัยรวมในร่างกายที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐ จำนวน 8 ชิ้น โดยเรดฮิลล์และอโพจี ไบโอเทคโนโลยี คอร์ปอเรชัน (Apogee Biotechnology Corporation) ("อโพจี") รวมถึงการทดลองเพิ่มเติมอื่น ๆ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของยาโอพากานิบ [1] ในการป้องกันอาการบาดเจ็บจากรังสีนิวเคลียร์[2]

วารสารฉบับดังกล่าวเน้นย้ำถึงข้อสังเกตจากการศึกษาจำนวนมากเกี่ยวกับการป้องกันความเป็นพิษจากรังสีและการฉายรังสีรักษามะเร็ง การศึกษายาโอพากานิบในรูปแบบที่เกี่ยวข้องแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์เกี่ยวกับการปกป้องเนื้อเยื่อปกติ ซึ่งรวมถึงเนื้อเยื่อในระบบทางเดินอาหาร จากความเสียหายที่เกิดจากรังสีที่แตกตัวเป็นไอออนหรือการฉายรังสีรักษามะเร็ง ตลอดจนการปรับปรุงฤทธิ์ต้านเนื้องอก การตอบสนองต่อเคมีบำบัด การเพิ่มความต้านทานและอัตราการรอดชีวิต การศึกษาอิสระเพิ่มเติมยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการป้องกันรังสีของยาโอพากานิบในไขกระดูก โดยโอพากานิบแสดงให้เห็นอัตราการรอดชีวิตที่เพิ่มขึ้นในหนูทดลองที่ได้รับการฉายรังสีทั่วร่างกายที่เป็นภัยต่อชีวิตและกึ่งเป็นภัยต่อชีวิต[3]

"ภายใต้ความสอดคล้องเพิ่มเติมร่วมกับองค์การอาหารและยาสหรัฐ เราตั้งใจที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบการทดลองยาในสัตว์เพื่อการอนุมัติตัวยาโอพากานิบ โดยอิงตามคำแนะนำขององค์การอาหารและยาสหรัฐสำหรับยาโอพากานิบโดยเฉพาะ การพัฒนามาตรการรับมือทางการแพทย์อาจเป็นไปตามกฎระเบียบการทดลองยาในสัตว์ โดยมีการศึกษาแบบจำลองสัตว์ที่สำคัญเมื่อการทดลองทางคลินิกในมนุษย์ไม่เป็นไปตามหลักจริยธรรมหรือไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้ เราตั้งใจที่จะแสวงหากรอบเวลาการพัฒนาที่รวดเร็วและสิทธิ์ในการยื่นขอการเร่งพิจารณาอนุมัติตัวยา เรายังได้เร่งแผนการพัฒนาของเราเพื่อทดสอบยาโอพากานิบเพิ่มเติมในฐานะมาตรการป้องกันความเป็นพิษของรังสีนิวเคลียร์ ท่ามกลางความตระหนักที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความต้องการมาตรการรับมือทางการแพทย์ต่อเป็นภัยคุกคามทางวัตถุ และข้อสังเกตในเชิงบวกที่เห็นได้จากการศึกษาความเป็นพิษของรังสีในระบบทางเดินอาหารในร่างกาย และการศึกษาด้วยรังสีเพื่อการรักษามะเร็ง โดยมีข้อมูลภายนอกที่บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ในการป้องกันรังสีในไขกระดูกของโอพากานิบ เราได้เร่งแผนพัฒนาเพื่อทดสอบยาโอพากานิบเป็นสารป้องกันความเป็นพิษของรังสีนิวเคลียร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ เราได้ริเริ่มการศึกษาใหม่เพื่อประเมินการป้องกันผลกระทบของยาโอพากานิบต่อความเป็นพิษทางโลหิตวิทยาและไตที่เกิดจากรังสีร่วมกับอโพจี ซึ่งเป็นพันธมิตรของเรา นอกจากนี้ เรายังได้กำหนดการประชุมร่วมกับองค์การอาหารและยาสหรัฐอีกครั้ง เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับเส้นทางสู่การอนุมัติตัวยาในฐานะมาตรการรับมือทางการแพทย์เพื่อความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้งมีการปรึกษาร่วมกับหน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศเกี่ยวกับเงินทุนและการสนับสนุนจากรัฐบาลอื่น ๆ" กิลีด ราเดย์ (Gilead Raday) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการและหัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาของเรดฮิลล์ กล่าว "ที่สำคัญ โอพากานิบยังได้แสดงให้เห็นถึงความปลอดภัยและความต้านทานจากการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 470 คนในการศึกษาสิ่งบ่งชี้อื่น ๆ รวมถึงการใช้งานในรูปแบบอื่น ๆ ในฐานะที่เป็นยาเม็ดขนาดเล็กที่มีความเสถียรสูงและมีอายุการเก็บรักษานานกว่า 5 ปี โอพากานิบนั้นง่ายต่อการดูแลและแจกจ่าย ซึ่งสนับสนุนมาตรการรับมือภัยคุกคามโดยการกักตุนยาส่วนกลางของรัฐบาล"

การบรรเทาภาวะเป็นพิษจากรังสีเป็นเรื่องที่รัฐบาลยังคงแสดงความกังวลในปัจจุบัน ความสำคัญหลักสำหรับความพยายามในการวิจัยของรัฐบาลสหรัฐ มุ่งเน้นไปที่การค้นหายาที่มีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนาน และสามารถแจกจ่ายและจัดการได้ง่าย เพื่อรวมไว้ในคลังยายุทธศาสตร์แห่งชาติ ยาดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในเหตุการณ์รังสีนิวเคลียร์ที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก อันมีสาเหตุมาจากวัตถุกระจายรังสีนิวเคลียร์หรือสารกัมมันตภาพรังสีแบบชั่วคราว ยาเหล่านี้ควรมีความสามารถในการป้องกันอาการในวงกว้าง สามารถจ่ายได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากได้รับรังสี มีความปลอดภัยและสามารถกระจายไปยังผู้คนจำนวนมากที่ต้องการการรักษาจากอาการเฉียบพลันที่เกิดจากการรับรังสีทั่วร่างกายในปริมาณสูง

ปัจจุบัน มีเพียง 4 วิธีบำบัดทางการแพทย์เท่านั้นที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐเพื่อใช้เป็นมาตรการรับมือ ตัวเลือกสามในสี่มีข้อจำกัดเฉพาะผลกระทบที่เกิดจากวัตถุกัมมันตภาพรังสีปริมาณน้อยหรือเฉพาะส่วนของร่างกาย เช่น โพแทสเซียมไอโอไดด์ (ยาเม็ดไอโอดีน) ซึ่งใช้เพื่อป้องกันความเสียหายของต่อมไทรอยด์จากการปล่อยรังสีไอโอดีน ทำงานโดยป้องกันไม่ให้ต่อมไทรอยด์รับไอโอดีนที่เป็นกัมมันตภาพรังสี แต่ไม่สามารถป้องกันส่วนที่เหลือของร่างกายจากรังสีได้และยังคงมีข้อจำกัดด้านประโยชน์การใช้งาน เว้นแต่จะได้รับทันทีเมื่อมีการสัมผัสรังสี ยาอีกสองชนิด ได้แก่ ปรัสเซียน บลู (Prussian Blue) และดีทีพีเอ (DTPA) หรือ diethylenetriamine pentaacetate ที่ปกป้องโดยการจำกัดครึ่งชีวิตในวัตถุเฉพาะ ได้แก่กัมมันตภาพรังสีซีเซียมและแทลเลียมในกรณีของปรัสเซียน บลู และกัมมันตภาพรังสีพลูโทเนียม อะเมริเซียม และคูเรียมในกรณีของดีทีพีเอ ตัวเลือกสุดท้ายได้แก่ฟิลกราสทิม (filgrastim) ซึ่งมีไว้สำหรับกลุ่มอาการเฉียบพลันอันเป็นผลมาจากการรับรังสีปริมาณสูง แต่จะไม่ปกป้องร่างกายจากรังสีและทำงานโดยการกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวใหม่ เพื่อปกป้องร่างกายจากการติดเชื้อตราบใดที่ยังมีเซลล์ต้นกำเนิด แต่จะไม่สามารถทำได้อีกต่อไปหากไขกระดูกถูกรังสีทำลาย

เราเชื่อว่าการป้องกันของโอพากานิบจะไม่จำกัดอยู่เฉพาะวัตถุกัมมันตภาพรังสีเพียงบางชนิดหรือบางส่วนของร่างกายเท่านั้น ความเสียหายส่วนใหญ่ที่เกิดจากการสัมผัสรังสีเกิดจากการอักเสบเนื่องจากรังสีได้แตกตัวเป็นไอออน หรือที่เรียกว่าอาการฉับพลันที่เกิดจากการสัมผัสรังสี ยาโอพากานิบซึ่งเป็นสารยับยั้ง sphingosine kinase-2 (SK2) คาดว่าจะสามารถออกฤทธิ์ต้านอาการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับระดับเซราไมด์ (ceramide) และการลดลงของ sphingosine 1-phosphate (S1P) ในเซลล์ของมนุษย์ ยับยั้งความเสียหายจากการอักเสบต่อเนื้อเยื่อปกติ และระงับความเป็นพิษจากการได้รับรังสีที่แตกตัวเป็นไอออนโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า การยับยั้ง sphingosine kinase 2 ยังช่วยเพิ่มการรอดชีวิตและความทนทานของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด แม้ต้องเผชิญกับความเสียหายจากรังสี ทำให้ผู้ป่วยมีอัตราการรอดชีวิตสูงขึ้น

การศึกษาการป้องกันภาวะเป็นพิษของรังสีด้วยยาโอพากานิบ ซึ่งได้รับทุนจากรัฐบาลสหรัฐ สรุปผลลัพธ์

ผลของโอพากานิบต่ออัตราการเสียชีวิตจากการสัมผัสรังสีทั่วทั้งตัว ( Total Body Irradiation) ในหนูทดลอง C57BL/6

หนูทดลองได้รับการรักษาด้วยกระสายยามีสภาวะความเสียหายในระบบทางเดินอาหารอย่างรุนแรงเด่นชัด และถูกการุณยฆาตภายใน 14 วันหลังจากได้รับรังสี ขณะที่หนูทดลองที่ได้รับการรักษาด้วยโอพากานิบกว่า 71% รอดชีวิต

การสะสมและเภสัชพลศาสตร์ของโอพากานิบในลำไส้เล็กของหนูทดลอง

การแสดงออกของ TNF? ในลำไส้เล็กของหนูทดลองที่ได้รับการรักษาด้วยกระสายยา พบว่ามีการควบคุมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วราว 1 ชั่วโมงหลังจากการถูกฉายรังสีทั่วร่างกาย (TBI) และยังคงระดับสูงอยู่เป็นเวลาอย่างน้อย 26 ชั่วโมง ในทางตรงกันข้าม การปรับสภาพด้วยยาโอพากานิบไม่เพียงแต่ขัดขวางการเหนี่ยวนำของ TNF? จากการถูกฉายรังสีทั่วร่างกาย แต่ยังลดระดับ TNF? ของเนื้อเยื่อลงไปอยู่ต่ำกว่าระดับการตรวจวัดพื้นฐาน ซึ่งบ่งชี้ถึงการกระจายตัวทางชีวภาพเป็นเวลานานของยาโอพากานิบในลำไส้เล็กในระดับที่เพียงพอต่อการยับยั้ง SK2 และการอักเสบที่เกิดจากรังสี

ผลของยาโอพากานิบต่อความเสียหายของระบบทางเดินอาหารหลังจากการถูกฉายรังสีทั่วร่างกาย

ระดับความสูงของวิลลัสลดลงหลังการฉายรังสี (วิลลัสเป็นองค์ประกอบสำคัญของลำไส้ในการดูดซับสารอาหารและเป็นตัวบ่งชี้สุขภาพของลำไส้) ถูกพบในสัตว์ทดลองที่ได้รับการบำบัดด้วยกระสายยาเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ผ่านการฉายรังสี ในทางตรงกันข้าม ระดับความสูงของวิลลัสยังคงที่สำหรับหนูทดลองที่ได้รับการรักษาด้วยโอพากานิบ นอกจากนี้ แม้จะมีหลักฐานแสดงการสูญเสียเซลล์หลังจาก 10 วันในทุกกลุ่มตัวอย่าง แต่กลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยโอพากานิบกลับมีจำนวนเซลล์มากกว่าอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 4 วันหลังจากการฉายรังสี เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมด้วยกระสายยา (p <0.001) โดยมีความแตกต่างระหว่างการรักษาที่เท่ากันในวันที่ 10

ผลของโอพากานิบต่อการเสียชีวิตจากการสัมผัสรังสีโดยมีฉนวนป้องกันบางส่วนในหนูทดลอง C57BL/6

ยาโอพากานิบสามารถลดอัตราการเสียชีวิตของหนูทดลองจากการสัมผัสรังสีในระดับต่าง ๆ ในปริมาณต่าง ๆ โดยใช้เกราะป้องกันไขกระดูกบางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการให้ยาโอพากานิบทั้งก่อนและหลังการฉายรังสี โดยสามารถลดอัตราการเสียชีวิตลงจาก 82% เหลือเพียง 4% (p<0.001) ในหนูทดลองที่ได้รับปริมาณรังสีสูงสุด 16 เกรย์ (Gy)

การศึกษาการใช้รังสีเพื่อรักษาโรคมะเร็งและยาโอพากานิบ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐ

ผลกระทบในหลอดทดลองของยาโอพากานิบต่อความไวรังสีของเซลล์

ยาโอพากานิบคาดว่าสามารถมอบการป้องกันจากการตายของเซลล์ที่เกิดจากการรับรังสี โดยจากการสังเกตพบว่าระดับของรังสีที่สามารถกำจัดเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้ที่ระดับ 50% และ 90% เพิ่มขึ้นจาก 5.56 และ 12.16 เกรย์ ตามลำดับเป็น 6.46 และ 13.2 เกรย์ ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังสังเกตพบว่า ยาโอพากานิบยังช่วยเพิ่มการกำจัดเซลล์มะเร็งตับอ่อนที่ถูกแปลงสภาพโดยการฉายรังสี โดยเฉพาะที่ระดับ 15 เกรย์ (p<0.05)

ผลการทดลองในร่างกายของยาโอพากานิบร่วมกับการฉายรังสี เพื่อหยุดยั้งการเติบโตของเนื้องอก (มะเร็งชนิดต่าง ๆ)

แบบจำลองมะเร็งตับอ่อน: การรักษาด้วยการฉายรังสีทั่วร่างกายเพียงอย่างเดียว หรือการใช้ยาโอพากานิบเพียงอย่างเดียว ช่วยลดการเติบโตของเนื้องอกได้อย่างมาก (p<0.05 และ p<0.001 ตามลำดับ) การรักษาด้วยโอพากานิบร่วมกับการฉายรังสีมีความสัมพันธ์กับการเติบโตของเนื้องอกที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมหรือกลุ่มที่ได้รับการฉายรังสีเพียงอย่างเดียว (p <0.01 สำหรับการเปรียบเทียบแต่ละครั้ง) แต่ไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ได้รับยาโอพากานิบเพียงอย่างเดียวมากนัก เนื่องจากฤทธิ์ต้านเนื้องอกที่รุนแรงของยา ที่สำคัญ การรักษาด้วยยาโอพากานิบไม่ได้ป้องกันเนื้องอกจากการฉายรังสี

แบบจำลองมะเร็งเต้านมเมลาโนมาและ E0771: การรักษาด้วยยาโอพากานิบและการฉายรังสี พบว่ามีฤทธิ์ต้านเนื้องอกที่เท่ากันหรือดีกว่าการรักษาด้วยการฉายรังสีเพียงอย่างเดียว เช่นเดียวกัน ยาโอพากานิบไม่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองของเนื้องอกที่ลดลงต่อการรักษาด้วยการฉายรังสีแบบแยกส่วน และไม่พบการลดน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากการฉายรังสี

แบบจำลองมะเร็งศีรษะและคอ: การรักษาด้วยยาโอพากานิบเพียงอย่างเดียวสามารถลดการเติบโตของเนื้องอกได้เพียงเล็กน้อย ในขณะที่การรักษาด้วยการฉายรังสี + ซิสพลาติน (cisplatin) พบว่าสามารถลดการเติบโตของเนื้องอกได้อย่างมากเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (กระสายยา) (p<0.001) การรักษาด้วยยาโอพากานิบร่วมกับการฉายรังสี + ซิสพลาติน มีความสัมพันธ์กับการลดอัตราการเติบโตของเนื้องอกมากที่สุด และกลุ่มการรักษาดังกล่าวมีอาการที่ดีกว่ากลุ่มที่การรับการรักษาด้วยการฉายรังสี + ซิสพลาติน อย่างมีนัยสำคัญในวันที่ 21 และหลังจากนั้น (p<0.02) เช่นเดียวกัน ยาโอพากานิบไม่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองของเนื้องอกที่ลดลงหรือการลดน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น

เกี่ยวกับโอพากานิบ (ABC294640)

โอพากานิบ (opaganib) เป็นสารเคมีชนิดใหม่ เป็นยารับสำหรับประทาน และเป็นตัวยับยั้ง sphingosine kinase-2 (SK2) ตัวแรกที่ได้รับการจดลิขสิทธิ์ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง ป้องกันรังสี และต้านไวรัส

โอพากานิบคาดว่าจะทำงานผ่านการยับยั้งหลายช่องทาง ชักนำให้เกิดภาวะ autophagy และ apoptosis และการหยุดชะงักของการแพร่ตัวของไวรัส ผ่านการยับยั้งเอนไซม์ sphingolipid-metabolizing สามตัวพร้อมกันในเซลล์ของมนุษย์ (SK2, DES1 และ GCS)

ในสภาพแวดล้อมด้านเนื้องอกวิทยาและกัมมันตภาพรังสี ยาโอพากานิบมีความสามารถในการเพิ่มระดับเซราไมด์ และลด sphingosine 1-phosphate (S1P) ในเซลล์ ซึ่งเป็นสภาวะที่เพิ่มประสิทธิภาพในการต้านเนื้องอกของการฉายรังสี ในขณะเดียวกันยังสามารถลดความเสียหายจากการอักเสบต่อเนื้อเยื่อปกติ นำไปสู่ศักยภาพในการลดความเป็นพิษจากการได้รับรังสีที่แตกตัวเป็นไอออนโดยไม่ได้ตั้งใจ (IR) และยกระดับการตอบสนองของผู้ป่วยต่อการทำเคมีบำบัด ยาโอพากานิบได้ถูกกำหนดให้เป็นยากำพร้าโดยองค์การอาหารและยาสหรัฐสำหรับการรักษามะเร็งท่อน้ำดี และกำลังอยู่ในระหว่างการประเมินการศึกษาระยะที่ 2a ในการรักษามะเร็งท่อน้ำดีระยะลุกลาม ขณะที่การสะสม การรักษา และการวิเคราะห์ผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากกำลังดำเนินต่อไป ยาโอพากานิบมีรูปแบบการศึกษาเคมีบำบัดระยะที่ 1 ซึ่งพร้อมสำหรับการยื่นศึกษายาตัวใหม่

โอพากานิบได้แสดงให้เห็นถึงฤทธิ์ในการต้านไวรัสในวงกว้างแบบควบคุมโดยพาหะสำหรับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 หลายสายพันธุ์ รวมถึงไวรัสอื่น ๆ อีกหลายชนิด เช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ ยาโอพากานิบในฐานะที่เป็นการเจาะจงที่พาหะ และอิงจากข้อมูลที่ผ่านมา คาดว่าจะสามารถรักษาคุณสมบัติการต่อต้านต่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ ในการวิเคราะห์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับข้อมูลทางคลินิกระยะที่ 2/3 ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีเชื้อโควิด-19 ในระดับปานกลางถึงรุนแรง ยาโอพากานิบชนิดรับประทานแสดงให้เห็นการกำจัด RNA ของไวรัสที่ดีขึ้น ใช้เวลาในการฟื้นตัวเร็วขึ้น และมีอัตราการเสียชีวิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มผู้ป่วยรายสำคัญ เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้ยาหลอกที่อยู่เหนือมาตรฐานการดูแล ข้อมูลจากการศึกษาระยะที่ 2/3 ของยาโอพากานิบทั่วโลกได้ถูกส่งเพื่อการตรวจสอบในวงการและถูกเผยแพร่เมื่อเร็ว ๆ นี้บน medRxiv

โอพากานิบยังแสดงผลระดับพรีคลินิกในเชิงบวกเกี่ยวกับการเกิดพังผืดของไต และมีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ การป้องกันรังสี ไวรัส การอักเสบ และข้อบ่งชี้ต่าง ๆ ในทางเดินอาหาร

เกี่ยวกับเรดฮิลล์ ไบโอฟาร์มา

เรดฮิลล์ ไบโอฟาร์มา (RedHill Biopharma Ltd.) (Nasdaq: RDHL) เป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์เฉพาะทางที่มุ่งเน้นโรคระบบทางเดินอาหารและการติดเชื้อ เรดฮิลล์สนับสนุนยาระบบทางเดินอาหาร Movantik(R) สำหรับอาการท้องผูกจากสารโอปิออยด์ในผู้ใหญ่[4], Talicia(R) สำหรับการรักษาการติดเชื้อ Helicobacter pylori (H. pylori) ในผู้ใหญ่[5] และ Aemcolo(R) สำหรับการรักษาโรคท้องเสียในผู้ใหญ่[6] โครงการพัฒนาเชิงคลินิกขั้นสุดท้ายที่สำคัญของเรดฮิลล์ประกอบด้วย (i) RHB-204 อยู่ระหว่างการศึกษาระยะที่ 3 สำหรับการติดเชื้อมัยโคแบคทีเรียที่ไม่ใช่เชื้อวัณโรค (pulmonary nontuberculous mycobacteria - NTM) (ii) opaganib (ABC294640) ยาชนิดรับประทานชนิดออกฤทธิ์กว้าง โดยเป็นยายับยั้งประเภท selective inhibitor กลุ่ม sphingosine kinase 2 (SK2) ที่มุ่งเป้าหลายข้อบ่งชี้ของโรค รวมถึงการเตรียมรับมือกับการแพร่ระบาด โดยอยู่ระหว่างการศึกษาระยะที่ 2/3 สำหรับการรักษาโควิด-19 ในโรงพยาบาล และการศึกษาระยะที่ 2 สำหรับการรักษามะเร็งและป้องกันรังสี (iii) RHB-107 (upamostat) สารยับยั้ง serine protease ชนิดออกฤทธิ์กว้างแบบให้ทางปาก ซึ่งมีศักยภาพใช้เตรียมพร้อมรับมือกับโรคระบาด และอยู่ในการทดลองเฟส 3 เพื่อรักษาโรคโควิด-19 แบบแสดงอาการแต่ไม่ได้รักษาในโรงพยาบาล มะเร็งและโรคระบบทางเดินอาหารอักเสบชนิดอื่น  ๆ (iv) RHB-104 ซึ่งมีผลลัพธ์เชิงบวกจากการศึกษาระยะที่ 3 สำหรับโรคโครห์น (v) RHB-102 ซึ่งมีผลลัพธ์เชิงบวกจากการศึกษาระยะที่ 3 สำหรับโรคกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กอักเสบเฉียบพลัน และจากการศึกษาระยะที่ 2 สำหรับโรคลำไส้แปรปรวน IBS-D ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทได้ที่ www.redhillbio.com/ twitter.com/RedHillBio

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วย "ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า" ตามความหมายของกฎหมายปฏิรูปการฟ้องร้องคดีหลักทรัพย์ส่วนบุคคลปี 2538 ( Private Securities Litigation Reform Act of 1995) ข้อความเหล่านี้อาจขึ้นต้นด้วยคำว่า "ตั้งใจ" "อาจ" "จะ" "มีแผน" "คาดว่า "คาดการณ์" "คาดหวัง" "คาดคะเน" "ตั้งเป้า" "เชื่อ" "หวัง" "มีศักยภาพ" หรือคำที่คล้ายกัน ข้อความที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าตั้งอยู่บนพื้นฐานของสมมติฐานบางประการ และอยู่ภายใต้ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่าง ๆ ทั้งที่ทราบและไม่ทราบ ซึ่งหลายข้ออยู่นอกเหนือการควบคุมของบริษัท และไม่สามารถคาดการณ์หรือประเมินผลได้ ดังนั้น ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างไปอย่างมากจากที่แสดงหรือแจ้งเป็นนัยผ่านข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าดังกล่าว ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนดังกล่าวรวมถึงความเสี่ยงที่ยาโอพากานิบ จะไม่แสดงการเพิ่มระดับเซราไมด์และลด sphingosine 1-phosphate (S1P) ในเซลล์ เพิ่มประสิทธิภาพในการต้านเนื้องอกจากการฉายรังสีขณะที่สามารถยับยั้งความเสียหายจากการอักเสบต่อเนื้อเยื่อปกติ นำไปสู่ศักยภาพในการระงับความเป็นพิษจากการได้รับรังสีที่แตกตัวเป็นไอออนโดยไม่ได้ตั้งใจ (IR) และยกระดับการตอบสนองของผู้ป่วยต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัดในสภาพแวดล้อมด้านมะเร็งวิทยาและรังสี ความเสี่ยงที่องค์การอาหารและยาสหรัฐจะไม่เห็นด้วยกับแผนการพัฒนาที่บริษัทเสนอสำหรับยาโอพากานิบสำหรับข้อบ่งชี้ใด ๆ ความเสี่ยงที่ข้อสังเกตจากการศึกษาขั้นพรีคลินิกจะไม่เป็นตัวบ่งชี้หรือคาดการณ์ผลลัพธ์ในการทดลองทางคลินิก ความเสี่ยงที่โอพากานิบจะไม่เป็นเทคนิคการรักษาแบบพุ่งเป้าและออกฤทธิ์แสดงผลในวงกว้าง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแพร่ระบาดของโรค ความเสี่ยงที่การทดลองระยะที่ 3 สำหรับโอพากานิบจะไม่เกิดขึ้น หรือการทดลองดังกล่าวจะไม่ประสบความสำเร็จ และถึงแม้จะประสบความสำเร็จ แต่การศึกษาและผลลัพธ์ดังกล่าวอาจไม่เพียงพอสำหรับการยื่นขอจดทะเบียน เช่นความสามารถในการใช้งานฉุกเฉินหรือการใช้งานทางการตลาด และการศึกษาเกี่ยวกับโควิด-19 เพิ่มเติมสำหรับยาโอพากานิบที่ร้องขอโดยหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อสนับสนุนการใช้งานที่มีศักยภาพดังกล่าว และการใช้หรือการจำหน่ายยาโอพากานิบสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 โอกาสที่ยาจะไม่มีผลต่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ๆ ตลอดจนความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับ (i) การเริ่มต้น เวลา ความคืบหน้าและผลการวิจัยของบริษัท การผลิต การศึกษาขั้นพรีคลินิก การทดลองทางคลินิก และความพยายามในการพัฒนายาใหม่เพื่อการรักษาอื่น ๆ และระยะเวลาของการเปิดตัวเชิงพาณิชย์ของผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ และผลิตภัณฑ์ที่อาจได้มาหรือมีการพัฒนาในอนาคต (ii) ความสามารถของบริษัทในการพัฒนายาใหม่ในการรักษาไปสู่การทดลองทางคลินิกหรือเพื่อให้การศึกษาขั้นพรีคลินิกหรือการทดลองทางคลินิกประสบความสำเร็จ (iii) ขอบเขต จำนวน และประเภทของการศึกษาเพิ่มเติมที่บริษัทอาจจำเป็นต้องดำเนินการ การได้รับอนุมัติยาใหม่ และระยะเวลาในการยื่นเอกสาร การขออนุมัติ และข้อเสนอแนะด้านกฎระเบียบอื่น ๆ (iv) การผลิต การพัฒนาทางคลินิก การค้า และการยอมรับของตลาดสำหรับยาใหม่ของบริษัทและยา Talicia(R) (v) ความสามารถของบริษัทในการทำการค้าและส่งเสริมยา Movantik(R), Talicia(R) และ Aemcolo(R) ให้ประสบความสำเร็จ (vi) ความสามารถของบริษัทในการจัดตั้งและรักษาความร่วมมือขององค์กร (vii) ความสามารถของบริษัทในการจัดหาผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการอนุมัติสำหรับการจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ และสร้างและรักษาความสามารถในการจำหน่ายและการค้าของตนเอง (viii) การตีความคุณสมบัติและลักษณะของยาใหม่ของบริษัท และผลการศึกษายาใหม่จากการศึกษาขั้นพรีคลินิกหรือการทดลองทางคลินิก (ix) การนำรูปแบบธุรกิจ แผนกลยุทธ์สำหรับธุรกิจ และยาใหม่ของบริษัทไปใช้ (x) ขอบเขตการคุ้มครองที่บริษัทสามารถกำหนดและคงไว้ซึ่งสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาที่ครอบคลุมยาใหม่และผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ และความสามารถในการดำเนินธุรกิจโดยไม่ละเมิดสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น (xi) ผู้ที่บริษัทอนุญาตให้ใช้ทรัพย์สินทางปัญญาโดยขึ้นกับบริษัท (xii) ประมาณการค่าใช้จ่ายของบริษัท รายได้ในอนาคต ข้อกำหนดด้านเงินทุน และความจำเป็นในการจัดหาเงินทุนเพิ่มเติม (xiii) ผลจากอาการไม่พึงประสงค์ในผู้ป่วยหลังจากการใช้ยาที่ใช้ในการวิจัยภายใต้โครงการ Expanded Access Program ของบริษัท และ (xiv) การแข่งขันจากบริษัทและเทคโนโลยีอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันกับบริษัท อ่านข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทและปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการดำเนินการตามแถลงการณ์ที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าได้ในเอกสารของบริษัทที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) รวมถึงรายงานประจำปีของบริษัทในแบบฟอร์ม 20-F ที่ยื่นต่อหน่วยงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2565 และรายงานของบริษัทในแบบฟอร์ม 6-K ที่ยื่นต่อหน่วยงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 แถลงการณ์ที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าทั้งหมดที่รวมอยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ จัดทำขึ้นเฉพาะในวันที่มีการแถลงข่าวนี้เท่านั้น บริษัทไม่มีภาระผูกพันในการแก้ไขข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยวาจา ไม่ว่าจะเป็นผลมาจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรือสิ่งอื่นใด เว้นแต่กฎหมายกำหนด

ติดต่อบริษัท อาดิ ฟริช (Adi Frish)
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาองค์กรและธุรกิจ
เรดฮิลล์ ไบโอฟาร์มา
โทร: +972-54-6543-112
อีเมล: [email protected]

หมวด: การวิจัยและพัฒนา

[1] โอพากานิบเป็นยาชนิดใหม่ที่ใช้ในการวิจัย ยังไม่มีการวางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์
[2] Maines LW, Schrecengost RS, Zhuang Y, Keller SN, Smith RA, Green CL, Smith CD. Opaganib Protects against Radiation Toxicity: Implications for Homeland Security and Antitumor Radiotherapy. International Journal of Molecular Sciences. 2022; 23(21):13191. https://doi.org/10.3390/ijms232113191.
[3] Li C. et al., Loss of Sphingosine Kinase 2 Promotes the Expansion of Hematopoietic Stem Cells by Improving Their Metabolic Fitness. Blood. October 2022;140(15):1686-1701.
[4] Movantik(R) (naloxegol) ใช้สำหรับรักษาอาการท้องผูกที่เกิดจากสารโอปิออยด์ (OIC) ดูข้อมูลการสั่งจ่ายยาฉบับเต็มได้ที่ www.movantik.com
[5] Talicia(R) (omeprazole magnesium, amoxicillin และ rifabutin) ใช้สำหรับรักษาอาการติดเชื้อ H. pylori ในผู้ใหญ่ ดูข้อมูลการสั่งจ่ายยาฉบับเต็มได้ที่ www.Talicia.com
[6] Aemcolo(R) (rifamycin) ใช้สำหรับรักษาอาการท้องร่วงที่เกิดจากการเดินทาง เกิดจากเชื้อ Escherichia coli ที่ไม่ลุกลามในผู้ใหญ่ ดูข้อมูลการสั่งจ่ายยาฉบับเต็มได้ที่ www.aemcolo.com

โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/1334141/RedHill_Biopharma_Logo.jpg


ข่าววิทยาศาสตร์+นิวเคลียร์วันนี้

MEDEZE ต้อนรับคณะผู้บริหาร ABRM ร่วมหารือความร่วมมือยกระดับนวัตกรรมทางการแพทย์

นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) "MEDEZE" ให้การต้อนรับคณะผู้แทนจาก American Board of Regenerative Medicine (ABRM) นำโดย Dr. Rozina Badal Munir Global Development Director, American Society of Regenerative Medicine, American Board of Regenerative Medicine องค์กรระดับนานาชาติที่มุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานการดูแลรักษาด้วยเวชศาสตร์ฟื้นฟู ผ่านการรับรองวิชาชีพ การศึกษา และการพัฒนาวิทยาศาสตร์ด้านการรักษาด้วยเซลล์และเทคโนโลยีชีวภาพล้ำสมัย ในโอกาสเข้า

นักเรียนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความส... นักเรียนไทยคว้ารางวัลนำเสนอโครงงาน จากเวทีประชุมนานาชาตินักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ICYS 2025 — นักเรียนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาส...

สอวช. ร่วมกับ มจธ. เปิดหลักสูตร STIP รุ่น... สอวช. ผนึก มจธ. เปิดหลักสูตร STIP รุ่นที่ 7 มุ่งผลิตนักออกแบบนโยบายตอบโจทย์ประเทศ — สอวช. ร่วมกับ มจธ. เปิดหลักสูตร STIP รุ่นที่ 7 มุ่งผลิตนักออกแบบนโยบาย...

รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด รักษาการในตำแหน่งอธิ... มทร.ธัญบุรี คว้า 7 รางวัลนวัตกรรมระดับโลก — รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด รักษาการในตำแหน่งอธิการบดี มทร.ธัญบุรี เผยว่า ผลงานจาก มทร.ธัญบุรี ผ่านการคัดเ...

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระท... วว.รับมอบประกาศนียบัตรร่วมจัดแสดงผลงานในงานสิ่งประดิษฐ์ระดับนานาชาติเจนีวา ครั้งที่ 50 — นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาส...

ผศ.ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ว่าการ สถาบันวิจัย... วว.คว้ารางวัลชนะเลิศเหรียญทอง (Gold Medal) @ งานสิ่งประดิษฐ์ระดับนานาชาติเจนีวา ครั้งที่ 50 — ผศ.ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ว่าการ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโน...

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและน... สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช วว. ชวนร่วมกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศ — กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกร...