'เครือสหพัฒน์' ปิดจองซื้อหน่วยทรัสต์ 'HYDROGEN' นักลงทุนตอบรับอย่างคึกคัก มั่นใจในศักยภาพทรัพย์สินมีอัตราการเช่าเฉลี่ยสูงถึง 99.2% คาดพร้อมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้
บมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (SPI) เครือสหพัฒน์ ปิดการขายหน่วยทรัสต์ของ "กองรีท HYDROGEN" ที่จัดตั้งขึ้นในโอกาสครบรอบ 50 ปี เพื่อแบ่งปันโอกาสการลงทุนในทรัพย์สินคุณภาพ อาคารคลังสินค้าโครงการไทเกอร์สุวรรณภูมิ ดีซี ลาดกระบัง และโรงงานในโครงการสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ ศรีราชา กบินทร์บุรี และแม่สอด หลังนักลงทุนตอบรับจองซื้ออย่างคึกคัก พร้อมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ ชูจุดเด่นอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยสูงถึง 99.2% มีผู้เช่าจากหลากหลายอุตสาหกรรม ประมาณการอัตราการจ่ายประโยชน์ตอบแทนปีแรก 7.0%
นายวิชัย กุลสมภพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าไฮโดรเจน หรือ Hydrogen Freehold and Leasehold Real Estate Investment Trust (HYDROGEN) ที่จัดตั้งขึ้นในโอกาสครบรอบ 50 ปีของบริษัทฯ ภายใต้คอนเซ็ปต์ "ผูกพัน แบ่งปัน มั่นคง" เพื่อแบ่งปันโอกาสการลงทุนในทรัพย์สินคุณภาพของเครือสหพัฒน์ ได้แก่ การลงทุนในกรรมสิทธิ์โครงการไทเกอร์ สุวรรณภูมิ ดีซี ลาดกระบัง และสิทธิการเช่าระยะเวลา 30 ปี ในโรงงานภายในโครงการสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ศรีราชา กบินทร์บุรี และแม่สอด โดยได้เปิดจองซื้อหน่วยทรัสต์ไปเมื่อวันที่ 21 - 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างคึกคัก สามารถปิดการเสนอขายหน่วยทรัสต์จำนวน 2,077.20 ล้านบาทได้ตามเป้าหมาย คาดพร้อมนำหน่วยทรัสต์เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงกลาง ธันวาคม 2565
นายปิยะพงศ์ พินธุประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮโดรเจน รีท แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองรีท HYDROGEN กล่าวว่า การเสนอขายหน่วยทรัสต์ที่ผ่านมามีผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ แสดงถึงความเชื่อมั่นจากนักลงทุนในกองรีท HYDROGEN และทรัพย์สินที่เข้าลงทุนจากเครือสหพัฒน์ โดย ณ ไตรมาส 2/2565 ทรัพย์สินที่เข้าลงทุนทั้ง 4 โครงการ มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยถึง 99.20% และมีผู้เช่าจากอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งที่เป็นผู้ประกอบการภายในประเทศและต่างชาติ โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นการคัดเลือกทรัพย์สินที่มีคุณภาพ ซึ่งทั้ง 4 โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านการผลิตและการขนส่ง เชื่อมต่อการคมนาคมขนส่งได้หลากหลายรูปแบบ จึงเหมาะแก่การตั้งโรงงานและคลังสินค้า รวมถึงได้รับประโยชน์จากโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศอยู่ในช่วงฟื้นตัวจึงเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนความต้องการเช่าพื้นที่เพื่อรองรับการลงทุนและขยายโรงงาน
ขณะเดียวกันทรัพย์สินดังกล่าวยังมีจุดเด่น ได้แก่ 1) โรงงานและคลังสินค้ามีมาตรฐานในการออกแบบและก่อสร้าง โดยสามารถรองรับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เช่า 2) มีผู้เช่าจากหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ โลจิสติกส์ อีคอมเมิร์ซ สินค้าอุปโภคบริโภคฯลฯ และส่วนใหญ่เป็นคู่ค้าหรือบริษัทในเครือสหพัฒน์ที่เช่าพื้นที่มาเป็นระยะเวลานาน 3) มีระบบสาธารณูปโภคในโครงการครบครันและในปี 2564 โครงการสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ ศรีราชา และกบินทร์บุรี ยังได้รับรางวัล "เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ" (Eco Industrial Town) หรือเมืองน่าอยู่คู่อุตสาหกรรมจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งผ่านเกณฑ์ระดับ 5 Happiness (ระดับสูงสุด) และ 4) มี บมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง เป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของกองรีทฯ ซึ่งมีประสบการณ์บริหารโครงการสวนอุตสาหกรรมมานานกว่า 47 ปี
นายสาวิตร ศรีศรันยพงศ์ ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า จากผลตอบรับที่ดีในการเสนอขายหน่วยทรัสต์ เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งกองรีทชั้นนำที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนหลังจากเข้าทำการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลอดจนชื่อเสียงและประสบการณ์ของ บมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง ที่เป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของกองรีทฯ จะสร้างผลการดำเนินงานที่ดีและความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ทั้งนี้ กองรีทฯ ได้ประมาณการอัตราการจ่ายประโยชน์ตอบแทนในปีแรก 7.0% อ้างอิงช่วงเวลาประมาณการระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2566 โดยการลงทุนครั้งนี้มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2,845.34 ล้านบาท ซึ่งมาจากการเสนอขายหน่วยทรัสต์จำนวน 2,077.20 ล้านบาท และส่วนที่เหลือมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit