สมาคมผู้ค้าปลีกไทยร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย เผยผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการ ค้าปลีกประจำเดือนเมษายน 2565 ในภาพรวมพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก Retail Sentiment Index (RSI) เดือนเมษายนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 56.4 ปรับเพิ่มขึ้น 9.9 จุด เมื่อเทียบกับดัชนีเดือนมีนาคมที่ 46.5 จุด สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่องสองช่วงในเดือนเมษายนที่ผ่านมา รวมถึงการส่งเสริมการขายของร้านค้าต่างๆ และประกอบกับข่าวการเปิดประเทศรับการท่องเที่ยว ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น 10.3 จุด จากระดับ 48.9 จุด ในเดือนมีนาคม มาที่ 58.7 จุดในเดือนเมษายน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโอมิครอนซึ่งกำลังเป็นช่วงขาลง และรัฐบาลกำลังจะประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่น
นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า "ผลการสำรวจรอบนี้ของเราต้องบอกว่ายอดขายสาขาเดิม Same Store Sale Growth (SSSG-YoY) ปรับเพิ่มขึ้น 9.9 จุด และอยู่เหนือค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนนับจากเดือนธันวาคม 2564 การเพิ่มขึ้นนี้เป็นการเพิ่มขึ้นในลักษณะ K-Shape ซึ่งเป็นรูปแบบการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดจนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ขณะที่บางส่วนยังไม่ฟื้นตัวและยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทำให้การฟื้นตัวไม่ครอบคลุมทุกประเภทร้านค้า สำหรับร้านค้าประเภทห้างสรรพสินค้า แฟชั่น ความงาม และภัตตาคาร-ร้านอาหาร ถือว่าเป็น K-Shape ขาขึ้นที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีจากนโยบายการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ และการยกเลิก Test & Go สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศ รวมทั้งการปลดล็อกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิดของ ทุกจังหวัดเพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางและดำรงชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ร้านค้าปลีกประเภท ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ K-Shape ขาลง และมีสัดส่วนกว่า 65% ของภาคค้าปลีกทั้งประเทศ กลับเติบโตน้อย สะท้อนให้เห็นว่า กำลังซื้อในประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เนื่องจากการจ้างงานยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงอยู่ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีความพยายามในการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการกระตุ้นการบริโภคด้วยนโยบายส่งเสริมและอุดหนุนของภาครัฐที่ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าโครงการของภาครัฐฯ สามารถ พยุงเศรษฐกิจไทยให้ก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 มาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกระตุ้นให้เกิดการบริโภคในกลุ่มสินค้าหรือบริการผ่านโครงการประชารัฐ โครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน และช้อปดีมีคืน ก่อให้เกิดผลบวกต่อผู้ประกอบการภาคการค้าปลีก ภาคการท่องเที่ยว และกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ในระดับที่น่าพอใจ"
ทั้งนี้ ยังมีบทสรุปประเด็นสำคัญของ "การประเมินผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนต่อภาคการค้า ที่สำรวจระหว่างวันที่ 18-26 เมษายน 2565" ดังนี้
1) ประเมินผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนต่อธุรกิจ
2) ประเมินแผนการการปรับราคาสินค้าในสามเดือนข้างหน้า
3) ประเมินผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนต่อราคาสต็อกสินค้าและสภาพคล่อง
3 ข้อเสนอต่อภาครัฐ
"ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของภาครัฐในการใส่เกียร์เดินหน้าเต็มกำลังในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้น การฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยการกระตุ้นการบริโภคผ่านนโยบายของภาครัฐถือเป็นหัวใจสำคัญในการเดินหน้าประเทศไทย ซึ่งภาครัฐได้ดำเนินการมาในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว และควรผลักดันให้มีมาตรการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อเศรษฐกิจของประเทศไทยจะได้เติบโตอย่างยั่งยืน" นายฉัตรชัย กล่าวทิ้งท้าย
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit