สอวช. เผยผลสำรวจระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทย แนะรัฐวางแนวทางพัฒนา 4 ด้าน

          สอวช. เผยผลสำรวจระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทย แนะรัฐวางแนวทางพัฒนา 4 ด้าน มาตรการสนับสนุน  การพัฒนาความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ศูนย์รวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะสูง เอกชนลั่น ถึงเวลาสร้างสตาร์ทอัพคุณภาพ
          สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ สมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ (Thailand Tech Startup Association – TTSA) เปิดเผยผลสำรวจระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. ผู้ประกอบการ56สตาร์ทอัพไทย (STARTUP ECOSYSTEM SURVEY: THAILAND ผู้ประกอบการวิจัยและนวัตกรรมสตาร์ทอัพไทย8) สอวช. แนะ นอกจากการผลักดันให้เกิดมาตรการสนับสนุนสตาร์ทอัพจากทั้งภาครัฐและเอกชนแล้ว ปัจจัยสำคัญที่จะสามารถผลักดันสตาร์ทอัพสู่เวทีโลกได้ คือการสร้างให้เกิด Global partnership ของผู้ประกอบการสตาร์ทอัพไทย ที่จะต้องมีหุ้นส่วนความร่วมมือในการประกอบธุรกิจ (Strategic Partnership) เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้ในระดับโลก ผ่านการทำงานร่วมกับนานาชาติได้อย่างไม่เสียเปรียบ
          ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สอวช. เปิดเผยถึงผลสำรวจระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. ผู้ประกอบการ56สตาร์ทอัพไทย ว่า การศึกษาสถานภาพการพัฒนาวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) เป็นความร่วมมือระหว่าง สอวช. กับ สมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ ภายใต้โครงการพัฒนาระบบนิเวศน์วิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Ecosystem) โดยตระหนักว่าธุรกิจสตาร์ทอัพ (startups) มีความสำคัญในฐานะกิจการที่มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์และสร้างมูลค่าจากผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) เพื่อสร้างการเติบโตของกิจการและก่อให้เกิดคุณค่าใหม่ ๆ ในระบบเศรษฐกิจ โดยอาจกล่าวได้ว่าหาก "ระบบนิเวศ" ที่รองรับการเกิด และดำเนินการของสตาร์ทอัพต่าง ๆ มีความเข้มแข็งและมีศักยภาพ ก็จะเกิดเป็นระบบของความเชื่อมโยงที่ประสานมิติของการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และมิติของการประกอบการเชิงพาณิชย์เข้าด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยลักษณะพื้นฐานของกิจการสตาร์ทอัพซึ่งมีความไม่แน่นอน และความเสี่ยงในการประกอบการที่สูงกว่ากิจการอื่น ๆ ทั่วไป และมักไม่มีรูปแบบธุรกิจที่ตายตัว จึงเป็นข้อห่วงใยร่วมกันสำหรับทั้งผู้ประกอบการ และผู้วางแผนนโยบายว่า โครงสร้างพื้นฐาน นโยบาย โครงสร้างกฎระเบียบและกฎเกณฑ์ ตลอดจนบรรยากาศในระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ และปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ ในระบบนั้น ควรมีความเอื้ออำนวย (facilitate) ให้ผู้ประกอบการทั้งที่มีอยู่แล้ว และผู้ประกอบการหน้าใหม่ ตลอดจนผู้ที่สนใจในการเริ่มต้นกิจการสตาร์ทอัพใหม่ ๆ ในอนาคต (potential founders) สามารถที่จะเกิดขึ้นและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลที่ได้จากการทำการสำรวจระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นประเทศไทยเหล่านี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในแง่ของการพิจารณานโยบาย และแนวทางการสนับสนุนต่าง ๆ รวมถึงการทราบสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและธุรกิจ และสามารถเป็นแนวทางในการส่งเสริมจุดแข็ง และแก้ไขปัญหา หรือจุดอ่อนที่พบผ่านการประเมินและพิจารณาจัดทำนโยบายของระบบนิเวศในแต่ละพื้นที่ที่มีการทำการศึกษาต่อไป ทั้งนี้ ในปี ผู้ประกอบการ56สตาร์ทอัพไทย นี้ ได้มีการจัดการเก็บข้อมูลครอบคลุมกิจการสตาร์ทอัพรวมทั้งสิ้น ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพไทย5 กิจการ 
          จากการสำรวจลักษณะของสตาร์ทอัพในประเทศไทย พบว่า ช่วงธุรกิจที่สตาร์ทอัพอยู่มากที่สุดคือ ช่วง Seed round หรือได้รับเงินลงทุนจาก accelerator / angel investor คิดเป็นร้อยละ 45.58 รองลงมาคือ Series A หรือได้รับการลงทุนครั้งสำคัญจาก Venture capital เป็นครั้งแรก คิดเป็นร้อยละ ผู้ประกอบการ4.สตาร์ทอัพไทย9 และ Pre-seed round หรือได้รับเงินลงทุนจากรัฐบาล ญาติพี่น้อง และบุคคลใกล้ชิด คิดเป็นร้อยละ สตาร์ทอัพไทย6.74 สำหรับประเภทอุตสาหกรรมของสตาร์ทอัพ พบว่า อุตสาหกรรมธุรกิจและเทคโนโลยีการบริการ (Business/Services Tech) มีสตาร์ทอัพมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ ผู้ประกอบการสมาคมการค้า.7ผู้ประกอบการ รองลงมาคือ ธุรกิจ E-Commerce คิดเป็นร้อยละ สตาร์ทอัพไทยวิจัยและนวัตกรรม.7วิจัยและนวัตกรรม และการศึกษา (EdTech) คิดเป็นร้อยละ 7.9สตาร์ทอัพไทย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการมีอายุเฉลี่ยเมื่อเริ่มกิจการ สมาคมการค้าสมาคมการค้า ปี แบ่งเป็น เพศชายร้อยละ 8สตาร์ทอัพไทย.64 และเพศหญิงร้อยละ สตาร์ทอัพไทย8.สมาคมการค้า6
          ด้านการเข้าร่วมโครงการ และมาตรการส่งเสริมของภาครัฐ พบว่า สตาร์ทอัพ ร้อยละ 56.48 เคยเข้าร่วมโครงการหรือมาตรการส่งเสริมของภาครัฐ และร้อยละ 4สมาคมการค้า.5ผู้ประกอบการ ระบุว่า ไม่เคยเข้าร่วมโครงการมาตรการส่งเสริมของภาครัฐ สำหรับสตาร์ทอัพที่เคยเข้าร่วมโครงการและมาตรการส่งเสริมของภาครัฐ พบว่า สตาร์ทอัพเคยเข้าร่วมโครงการ Startup Voucher ของ สวทช. มากที่สุด ร้อยละ ผู้ประกอบการ8.9สตาร์ทอัพไทย รองลงมา คือ โครงการคูปองนวัตกรรม ของ NIA คิดเป็นร้อยละ ผู้ประกอบการสมาคมการค้า.44 และโครงการ TED Fund ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คิดเป็นร้อยละ สตาร์ทอัพไทยสตาร์ทอัพไทย.7ผู้ประกอบการ ทั้งนี้ ประโยชน์ที่สตาร์ทอัพได้รับจากการเข้าร่วมโครงการมาตรการส่งเสริมของภาครัฐมากที่สุด คือ เงินทุน คิดเป็นร้อยละ 5สมาคมการค้า.สมาคมการค้าสมาคมการค้า รองลงมาคือ Network คิดเป็นร้อยละ ผู้ประกอบการวิจัยและนวัตกรรม.วิจัยและนวัตกรรมวิจัยและนวัตกรรม และ Branding คิดเป็นร้อยละ สตาร์ทอัพไทยสตาร์ทอัพไทย.ผู้ประกอบการ8 ส่วนเหตุผลที่สตาร์อัพไม่เคยเข้าร่วมโครงการมาตรการส่งเสริมของภาครัฐมากที่สุด คือ ไม่ทราบข้อมูล คิดเป็นร้อยละ ผู้ประกอบการ7.68 ไม่สนใจหรือไม่มีเวลา ร้อยละ ผู้ประกอบการ6.47 และไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ (เช่น ไม่ผ่านการคัดเลือก) ร้อยละ ผู้ประกอบการวิจัยและนวัตกรรม.47
          สำหรับผลการดำเนินงานของสตาร์ทอัพ ด้านรายได้ พบว่า สตาร์ทอัพที่สามารถสร้างรายได้ได้แล้วคิดเป็นร้อยละ 6สมาคมการค้า.7ผู้ประกอบการ โดยร้อยละ 4วิจัยและนวัตกรรม ของสตาร์อัพนั้นเริ่มสร้างรายได้หลังจากก่อตั้งธุรกิจ 6 เดือน โดยแหล่งรายได้ของธุรกิจสูงที่สุดคือ มาจากรายได้จากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการ และในกลุ่มของสตาร์ทอัพที่สร้างรายได้ได้แล้วนั้น พบว่า ร้อยละ 59.สตาร์ทอัพไทยผู้ประกอบการ มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่ได้รับจริงน้อยกว่าหรือเท่ากับ 5วิจัยและนวัตกรรมวิจัยและนวัตกรรม,วิจัยและนวัตกรรมวิจัยและนวัตกรรมวิจัยและนวัตกรรม บาท และ รองลงมาร้อยละ สตาร์ทอัพไทย7.5ผู้ประกอบการ มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ระหว่าง 5วิจัยและนวัตกรรมวิจัยและนวัตกรรม,วิจัยและนวัตกรรมวิจัยและนวัตกรรมวิจัยและนวัตกรรม - สตาร์ทอัพไทย,วิจัยและนวัตกรรมวิจัยและนวัตกรรมวิจัยและนวัตกรรม,วิจัยและนวัตกรรมวิจัยและนวัตกรรมวิจัยและนวัตกรรม บาท โดยสัดส่วนรายได้สูงสุด สมาคมการค้า แหล่งมาจาก รายได้จากการจำหน่ายสินค้า ร้อยละ 5วิจัยและนวัตกรรม รายได้จากค่าการตลาดหรือคอมมิชชั่น ร้อยละ สตาร์ทอัพไทย6 และรายได้จากค่าธรรมเนียมตัวกลาง ร้อยละ สตาร์ทอัพไทยสตาร์ทอัพไทย
          ด้านการทำวิจัยและพัฒนาและกิจกรรมนวัตกรรมขอบสตาร์ทอัพ พบว่า สตาร์ทอัพมีการใช้งบประมาณ โดยเฉลี่ยไม่มากกว่า 5วิจัยและนวัตกรรมวิจัยและนวัตกรรม,วิจัยและนวัตกรรมวิจัยและนวัตกรรมวิจัยและนวัตกรรม บาท/ปี ในการทำวิจัยและพัฒนาและกิจกรรมนวัตกรรม โดยความร่วมมือในการทำวิจัยและพัฒนาและกิจกรรมนวัตกรรมกับหน่วยงานของสตาร์ทอัพ พบว่า สตาร์ทอัพมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยรัฐมากที่สุด ร้อยละ ผู้ประกอบการวิจัยและนวัตกรรม.4วิจัยและนวัตกรรม รองลงมา คือ บริษัทเอกชน ร้อยละ สตาร์ทอัพไทย9.8วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานภาครัฐทั่วไป ร้อยละ สตาร์ทอัพไทยสมาคมการค้า.สมาคมการค้า7 โดยมีลักษณะความร่วมมือหลักของมหาวิทยาลัยรัฐ บริษัทเอกชน และหน่วยงานภาครัฐทั่วไป คือ การรับคำปรึกษา คำแนะนำ คิดเป็นร้อยละ 64.8สตาร์ทอัพไทย, 67.86, และ 76.74 ตามลำดับ รองลงมาคือ การทำวิจัยร่วมกัน คำแนะนำ คิดเป็นร้อยละ ผู้ประกอบการผู้ประกอบการ.ผู้ประกอบการผู้ประกอบการ, สตาร์ทอัพไทย7.86, และ 9.สมาคมการค้าวิจัยและนวัตกรรม ตามลำดับ
          สำหรับเทคโนโลยีสำคัญที่ใช้ในการดำเนินการในสตาร์ทอัพ พบว่า สตาร์ทอัพใช้เทคโนโลยี Software Application (SaaS) / Web Application ในการดำเนินการมากที่สุด ร้อยละ 64.ผู้ประกอบการผู้ประกอบการ ซึ่งแหล่งที่มาหลักของเทคโนโลยี Software Application (SaaS) / Web Application คือ ผู้ก่อตั้งเป็นผู้ค้นพบหรือสร้างเทคโนโลยีขึ้นเอง ร้อยละ ผู้ประกอบการ5.วิจัยและนวัตกรรม8 ส่วนเทคโนโลยีสำคัญที่ใช้ในการดำเนินการในสตาร์ทอัพรองลงมาคือ Artificial Intelligence (AI) / Machine Learning ร้อยละ 9.79 และ AR / VR ร้อยละ 5.ผู้ประกอบการวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งแหล่งที่มาหลักของเทคโนโลยี Artificial Intelligence (AI) / Machine Learning และ AR / VR คือ ค้นคว้าภายในกิจการ (in-house)
          ด้านความต้องการให้ภาครัฐให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน พบว่า อันดับหนึ่งของสตาร์ทอัพต้องการให้ภาครัฐให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนการเพิ่มแหล่งเงินทุน การร่วมลงทุน รองลงมาคือ การแก้ไขกฎหมาย หลักเกณฑ์ ข้อบังคับ ในการประกอบธุรกิจ และการเพิ่มมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนทางภาษี ด้านความต้องการในการรับการสนับสนุนจากภาคเอกชน พบว่า ความต้องการอันดับหนึ่งของสตาร์ทอัพในการรับการสนับสนุนจากภาคเอกชน คือ การสร้างเครือข่าย รองลงมาคือ การให้ความช่วยเหลือ ให้ความรู้ด้านเทคโนโลยี และการอบรมสร้างความเข้าใจทางด้านธุรกิจ สำหรับเป้าหมายของการดำเนินสตาร์ทอัพ พบว่า สตาร์ทอัพร้อยละ สมาคมการค้า7.ผู้ประกอบการผู้ประกอบการ มีเป้าหมายการถือครองระยะยาว รองลงมาร้อยละ ผู้ประกอบการ9.44 คือ IPO และร้อยละ สตาร์ทอัพไทยสมาคมการค้า.89 การขายกิจการและเปลี่ยนบทบาทเป็นนักลงทุน
          ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม นายกสมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ (TTSA) เปิดเผยถึงข้อเสนอแนะการพัฒนาระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นสำหรับภาครัฐ (Public Sectors) ว่า ภาครัฐควรวางแนวทางในการพัฒนาสตาร์ทอัพใน 4 ด้านสำคัญ คือ สตาร์ทอัพไทย. การประชาสัมพันธ์โครงการและมาตรการสนับสนุนสตาร์ทอัพของภาครัฐอย่างทั่วถึง ผู้ประกอบการ. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้ก่อตั้ง (Founder) จะนำมาพิจารณาในการเลือกประเทศในการจัดตั้งสตาร์ทอัพ ซึ่งสิ่งที่ผู้ก่อตั้งพิจารณาเป็นหลักคือ ความสะดวกในการจัดตั้งและการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้รับจากการลงทุนในประเทศนั้น ๆ ดังนั้น หากประเทศไทยต้องการเป็นศูนย์กลางการลงทุนของวิสาหกิจเริ่มต้นในภูมิภาคเอเชีย ภาครัฐจำเป็นต้องส่งเสริม และช่วยเหลือให้การประกอบกิจการวิสาหกิจเริ่มต้นในประเทศนั้น เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎหมาย นโยบาย และมาตรการต่าง ๆ ที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ และดึงดูดผู้ก่อตั้งรวมถึงนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในประเทศ นอกจากนี้ การดำเนินการเพื่อออกกฎหมาย นโยบาย และมาตรการดังกล่าวควรมีเป็นไปอย่างจริงจัง รวดเร็วและต่อเนื่อง เพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และเพื่อให้ภาคเอกชนเกิดความเชื่อมั่นในความตั้งใจและการให้ความสำคัญแก่วิสาหกิจเริ่มต้นของภาครัฐ โดยสิ่งที่ภาครัฐสามารถดำเนินการได้ เช่น การจัดตั้งศูนย์บริการ หรือหน่วยงานแบบ One-Stop-Service การแก้กฎหมายที่เอื้อต่อการลงทุน (Investment) และการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี (Tax Reduction or Exemption) เป็นต้น สมาคมการค้า. มีการรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง (Ecosystem Facilitation) เพื่อให้สตาร์ทอัพมีความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลและบริการของภาครัฐ (Single Point of Contact) และควรมีการจัดทำแหล่งความรู้กลาง Common Pool of Knowledge ที่จำเป็นต่อการประกอบธุรกิจวิสาหกิจเริ่มต้น ที่มีอยู่กระจัดกระจายในปัจจุบันไว้ในที่เดียวกัน และ 4. การสนับสนุนและพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะสูง (Talent & Workforce Enhancement) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่ม Developers และ Programmers ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้น เนื่องจากบุคลากรเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาธุรกิจด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยปัจจุบันแม้ว่าประเทศไทยจะมีบุคลากรในกลุ่มนี้อยู่จำนวนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงต่างประเทศได้ในแง่คุณภาพ และประสบการณ์ จึงทำให้บุคลากรเหล่านี้ยังเป็นที่ต้องการของวิสาหกิจเริ่มต้นไทย
          ส่วนข้อเสนอแนะการพัฒนาระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นสำหรับภาคเอกชน (Private Sectors) หากวิเคราะห์จากผลสำรวจ ภาคเอกชนควรเข้ามามีบทบาทในแง่ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่การเชื่อมต่อวิสาหกิจเริ่มต้นกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งนักลงทุน ผู้ที่มีโอกาสเป็นหุ้นส่วน หรือลูกค้า ผ่านการจัดตั้งเครือข่ายการพบปะกัน (Networking) เพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจจากบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องได้อย่างกว้างขวาง และมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ภาคเอกชนควรให้การสนับสนุนคำแนะนำ และคำปรึกษา (Mentorship) ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมาย ด้านข้อบังคับ ด้านการดำเนินธุรกิจ ด้านการวางแผน เป็นต้น รวมทั้งภาคเอกชนสามารถสนับสนุน หรือช่วยเหลือสตาร์ทอัพด้านการส่งเสริมภาพลักษณ์ และด้านการตลาด (Branding & Marketing) เนื่องจากภาคเอกชนหลาย ๆ หน่วยงานมีภาพลักษณ์และการตลาดที่เข้มแข็ง ซึ่งภาคเอกชนสามารถนำเอาจุดแข็งนี้มาเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันและสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้นให้เป็นที่รู้จักเพื่อกระตุ้นการตระหนักรู้ (Awareness) กับบุคคลที่สนใจวิสาหกิจเริ่มต้นหรือบุคคลทั่วไปให้เข้าถึง และเข้าใจวิสาหกิจเริ่มต้นของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น 
          "ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเราประสบความสำเร็จในการสร้างการรับรู้ และดึงดูดคนเข้ามาในระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ ต่อจากนี้น่าจะถึงเวลาที่เราจะเริ่มพูดถึงคุณภาพ เช่น การกระจายความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และกระบวนการคิด ที่ไม่ใช่แค่เพียง ไอเดีย กับ พิชชิ่ง แต่รวมถึงการทำธุรกิจ สร้างวัฒนธรรม และ ทัศนคติ ที่เหมาะกับเศรษฐกิจแห่งอนาคตด้วย" ดร.พณชิต กล่าว
          Slide ผลสำรวจระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นประเทศไทย (Thai Startup Ecosystem) ประจำปี ผู้ประกอบการวิจัยและนวัตกรรมสตาร์ทอัพไทย8: http://www.sti.or.th/th/สตาร์ทอัพไทย48สมาคมการค้า/
สอวช. เผยผลสำรวจระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทย แนะรัฐวางแนวทางพัฒนา 4 ด้าน
 
สอวช. เผยผลสำรวจระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทย แนะรัฐวางแนวทางพัฒนา 4 ด้าน
 
สอวช. เผยผลสำรวจระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทย แนะรัฐวางแนวทางพัฒนา 4 ด้าน
สอวช. เผยผลสำรวจระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทย แนะรัฐวางแนวทางพัฒนา 4 ด้าน
 
 
 
 
 

ข่าววิจัยและนวัตกรรม+สตาร์ทอัพไทยวันนี้

สอวช. ผนึก มจธ. เปิดหลักสูตร STIP รุ่นที่ 7 มุ่งผลิตนักออกแบบนโยบายตอบโจทย์ประเทศ

สอวช. ร่วมกับ มจธ. เปิดหลักสูตร STIP รุ่นที่ 7 มุ่งผลิตนักออกแบบนโยบายตอบโจทย์ประเทศ เตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง หนุนสร้างเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดขึ้นได้จริง ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวว่า สอวช. ร่วมกับ สถาบันนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (STIPI) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดหลักสูตรการออกแบบนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม รุ่นที่ 7 (STI Policy Design: STIP07)

รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด รักษาการในตำแหน่งอธิ... มทร.ธัญบุรี คว้า 7 รางวัลนวัตกรรมระดับโลก — รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด รักษาการในตำแหน่งอธิการบดี มทร.ธัญบุรี เผยว่า ผลงานจาก มทร.ธัญบุรี ผ่านการคัดเ...

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระท... วว.รับมอบประกาศนียบัตรร่วมจัดแสดงผลงานในงานสิ่งประดิษฐ์ระดับนานาชาติเจนีวา ครั้งที่ 50 — นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาส...

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและน... สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช วว. ชวนร่วมกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศ — กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกร...

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการ... วช. จับมือ สอศ. ดันสิ่งประดิษฐ์อาชีวศึกษา พลิกโฉมการศึกษาไทย ด้วยกิจกรรม TVET Smart Idea2Innovation — สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา ว...

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและน... วว. พัฒนาสารเสริมสุขภาพสัตว์ปีกจากจิ้งหรีดทองดำ ช่วยลดปริมาณเชื้อก่อโรค/กระตุ้นการเจริญเติบโต — กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย...