นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการตลาดเชิงสร้างสรรค์อย่างครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า "ปีนี้เป็นปีที่สนุกสนานและท้าท้ายของอินเด็กซ์ฯ โดยภาพรวมตลอดปีเมื่อเทียบกับปีที่แล้วถือเป็นภาพรวมที่ดี ในปีนี้ได้สร้างสรรค์งานสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบของงานอีเว้นท์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่เรามีความแข็งแกร่ง และเป็นที่ยอมรับของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจหลักของอินเด็กซ์ ฯ แบ่งสัดส่วนรายได้เป็น 1. กลุ่มมาร์เก็ตติ้ง เซอร์วิส (Marketing Service) คิดเป็น 88% 2. กลุ่มครีเอทีฟ บิซซิเนส ดีเวลลอปเม้นท์ (Creative Business Development) คิดเป็นสัดส่วน 7% และ 3. กลุ่มโอน-โปรเจค (Own-Project) คิดเป็นสัดส่วน 5% โดยผลประกอบการที่มีอัตราการเติบโตขึ้นเป็นผลมาจากสถานการณ์บ้านเมืองที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนค่อนข้างรัดเข็มขัดในการจัดกิจกรรมพอสมควร ทำให้ในปีนี้กลับมาอัดฉีดงบให้กับการจัดงานอีเว้นท์มากขึ้น ทำให้ภาพรวมธุรกิจอีเว้นท์เติบโตขึ้น และจากการที่บริษัทฯ เป็นส่วนหนึ่งของงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว" เมื่อต้นปีพ.ศ. 2561 และ "อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์" ครั้งล่าสุดที่จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 19 มกราคม 2561 ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากคนไทยอย่างล้นหลาม นับเป็นเกียรติสูงสุดของบริษัทฯ ที่ได้มีโอกาสจัดงานในครั้งนี้ งานประจำปีของหน่วยงานใหญ่ต่างๆ และงานเปิดตัวสินค้าอีกกว่า 4-5 งานเป็นต้น นอกจากนี้อินเด็กซ์ฯ ยังได้เมกะโปรเจคปลายปี กับงานเปิดตัวแลนมาร์คขนาดใหญ่ 'ไอคอนสยาม' มูลค่าการจัดงานไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสร้างปรากฎการณ์ครั้งยิ่งใหญ่บนแม่น้ำเจ้าพระยา เรียกได้ว่าเป็น Talk of the World โดยอินเด็กซ์ฯ ได้รับหน้าที่ในการจัดงานแสดงแสงสีเสียงบริเวณเวทีหลักภายนอกโครงการไอคอนสยามซึ่งเป็นความถนัด โดยมีนักแสดงร่วมกว่าพันชีวิต และยังได้ดึงทีมงานระดับโลกมาร่วมในการแสดงนี้ด้วย ถือว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่และท้าทายสำหรับเรามาก และ งานเคาท์ดาวน์ บริเวณลานด้านหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิล์ด ซึ่งได้จัดต่อเนื่องมาเป็นเวลา 8 ปี จนติดอันดับ 3 ใน 10 สถานที่เคาท์ดาวน์สู่ปีใหม่ที่ดีที่สุดในโลก จัดอันดับโดยสำนักข่าว CNN ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมความคิดสร้างสรรค์ของภูมิภาคอาเซียนอย่างแท้จริง"
"ในด้านของกลุ่มธุรกิจ Own Project ไลฟสไตล์ เทรดแฟร์ ในปีนี้อินเด็กซ์ฯ ได้สร้างสรรค์โปรเจ็กต์พิเศษต่างๆ ให้ตลาดทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นกับงาน 'กิโลรัน (KILORUN)' ครั้งแรกของมหกรรมงานวิ่งยุค 2018 ที่ไม่ได้วัดเป็นกิโลเมตรอย่างเดียว แต่วัดเป็นกิโลกรัม ชูไลฟ์สไตล์เก๋ วิ่ง เที่ยว กิน เน้นการพัฒนายกแหล่งท่องเที่ยวให้กลายเป็นไอคอนนิกดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลกซึ่งได้กระแสตอบรับที่ดีมาก ทำให้ในปี 2019 บริษัทฯ มีแผนจะขยายไปในหลายเมืองสำคัญของเอเชีย นอกจากนี้ยังมีงานเทรดแฟร์ที่ประเทศกัมพูชา กับงานแคมโบเดีย อาคิเทค แอนด์ เดคอว์ 2018 (Cambodia Architect & Decor 2018) และในประเทศเมียนมา กับงานเมียนมา ฟู้ดเบฟ (Myanmar FoodBev) งานเมียนมา รีเทล ซอสซิง เอ็กซ์โป 2018 (Myanmar Retail Sourcing Expo 2018) และงานเมียนมา บิวท์ แอนด์ เดคคอว์ 2018 (Myanmar Build & Decor 2018) ถือเป็นการสร้างโอกาส และเจาะตลาดใหม่ๆ ต่อเนื่อง และล่าสุดนับเป็นข่าวดีปิดท้ายศักราชของอินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ ในปีนี้กับการจุดพลุคว้างานใหญ่ 'เวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ' (World Expo 2020 Dubai) งานนิทรรศการนานาชาติระดับโลก ณ นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 ถือเป็นการร่วมงานใหญ่ระดับโลกอีกครั้งของประเทศไทย เนื่องจากงานเวิลด์เอ็กซ์โปถือเป็น 1 ใน 3 งานใหญ่ของโลก เช่นเดียวกับ การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และฟุตบอลโลก โดยได้เตรียมเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์ให้กับประเทศไทยอีกครั้ง"
"โดยเทรนด์ของอีเว้นท์มาเก็ตติ้งปี 2019 จะประกอบไปด้วย 3s connecting คือ Strong, Sentimental และSuddenly หมายความว่า ไอเดียต้องแรง เปี่ยมด้วยอารมณ์ และให้ความรู้สึกในทันที ทำให้อีเว้นท์ในปี 2019 จะเป็นอีเว้นท์ที่เกิดจากไอเดียใหม่ๆ ที่สามารถสร้างอารมณ์ร่วม และเชื่อมความรู้สึกของผู้บริโภคกับแบรนด์ได้ เพื่อให้เกิดกระแสและผลลัพธ์ทันที ทั้งนี้แผนในปี 2019 ของบริษัท มุ่งโฟกัสธุรกิจไปที่ การขยายฐานในงานประเภท Own Project รวมถึงงานที่เจาะไลฟสไตล์ผู้บริโภค ซึ่งฐานลูกค้าของอินเด็กซ์ฯ สัดส่วนจะเป็นภาคเอกชนประมาณ 70% และภาครัฐบาล 30% ทั้งนี้ ในส่วนของลูกค้าหลัก จะเป็นลูกค้าในกลุ่มรีเทล ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันกันสูงมาก รวมถึงกลุ่มประกันภัย และด้วยปัจจัยบวกที่เชื่อว่า ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเม้นท์มีแนวโน้มคึกคักมากขึ้น รวมถึงนักการตลาดต่างเริ่มใช้เม็ดเงินในการทำอีเว้นท์ ประชาสัมพันธ์ และโปรโมชั่นกับแบรนด์ต่างๆ มากขึ้น ทำให้ภาพรวมธุรกิจจะเติบโตขึ้น 5 - 10% เป็นมูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท" นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน กล่าว
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit