การประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมรับทราบถึงผลการดำเนินงานประจำปี 2561 และแผนงานการดำเนินการ รวมทั้งงบประมาณในปี 2562 ตลอดจนพิจารณาประเด็นอื่นๆ ที่อยู่ในอำนาจของคณะมนตรี APTERR ประกอบด้วย การดำเนินงานช่วยเหลือประเทศสมาชิกภายใต้การดำเนินงานระบายข้าวภายใต้โปรแกรมที่ 1 เป็นการสำรองในรูปสัญญา ซื้อขายล่วงหน้าหากภัยพิบัติ ระหว่างญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ และ โปรแกรมที่ 3 การบริจาคข้าวหลังเกิดภัยพิบัติ โดยญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี (สำหรับ โปรแกรมที่ 2 เป็นการสำรองในรูปสัญญาซื้อขายเมื่อเกิดภัยพิบัติทันที ซึ่งยังไม่เคยมีการนำมาใช้)
โอกาสนี้ ที่ประชุมยังได้ร่วมแสดงความยินดีกับผู้จัดการทั่วไปของสำนักเลขานุการ APTERR คือ นายชาญพิทยา ฉิมพาลี ผู้จัดการคนไทยที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะมนตรีประเทศสมาชิกในการต่ออายุให้ทำหน้าที่ผู้จัดการทั่วไปของสำนักเลขานุการ APTERR ต่อไปอีกวาระหนึ่ง เป็นระยะเวลา 3 ปี (ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2562 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2565) เพื่อทำหน้าที่ในการบริหารจัดการและดูแลการดำเนินงานขององค์กรให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ภายใต้การกำกับดูแลของคณะมนตรี โดยสำนักเลขานุการ APTERR ตั้งอยู่ที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประเทศไทย
รองเลขาธิการ กล่าวต่อไปว่า การดำเนินงานที่ผ่านมาของไทยในฐานะการเป็นประเทศเจ้าภาพ (Host Country) ของสำนักงานเลขานุการ APTERR ได้ให้การสนับสนุนสถานที่ทำการ ณ อาคารสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และร่วมส่งเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรไปช่วยปฏิบัติงานร่วมกัน ซึ่งได้เน้นย้ำต่อประเทศสมาชิกว่า ประเทศไทยมีความยินดีที่จะสนับสนุนการดำเนินงานอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ประเทศไทยได้เสนอตัวเป็นประเทศผู้ขายข้าว (Supplying Country) เพื่อทำสัญญาซื้อขายข้าวล่วงหน้าไว้ก่อนเกิดภัยพิบัติ (Forward Contract) และพร้อมให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิก APTERRด้วยการบริจาคข้าวเมื่อเกิดภัยพิบัติและขาดแคลน
ทั้งนี้ การดำเนินงานของ APTERR จะประสบผลสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศบวกสาม ในการให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินจากธรรมชาติและให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติกับประเทศสมาชิกที่ทวีความรุนแรงและเกิดบ่อยครั้งมากขึ้น ดังนั้น ประเทศสมาชิกต้องร่วมมือกันพัฒนาการบริหารจัดการสำรองข้าวและเสริมสร้างกลไกการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับความมั่นคงด้านอาหารระยะยาวให้กับภูมิภาคร่วมกัน รองเลขาธิการ กล่าว