นางจิตรลดา เลขาพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) หรือ AS กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในเดือนพฤศจิกายน 2561 มีแนวโน้มขาขึ้น โดยให้กรอบดัชนีไว้ที่ระดับ 1,590-1,770 จุด หากสามารถผ่านแนวต้านแรกที่ระดับ 1,702 จุดได้ จากประเด็นบวกจากต่างประเทศ อาทิ สถานการณ์ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน คาดมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามคาดยังคงมีความไม่แน่นอนหากการเจรจานอกรอบในการประชุม G20 ระหว่างผู้นำ 2 ประเทศ ไม่สามารถต่อรอง ตกลงกันได้ คาดว่าปัจจัยลบดังกล่าวจะกลับมากดดันภาพรวมตลาดอีกครั้ง และคาดว่ามีโอกาสที่สหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้า วงเงินรอบใหม่ อีก 267,000 ล้านบาท
นอกจากนี้คาดยังได้รับปัจจัยกดดันจากราคาน้ำมันที่มีความผันผวน ภายใต้ความกังวลปริมาณผลิตน้ำมันจากผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น รัสเซีย สหรัฐฯ และกลุ่มโอเปก ที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่ความต้องการมีแนวโน้มชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่ผ่านมาส่วนประเด็นในประเทศจับตาการขายทำกำไร หลังประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2561 แล้วเสร็จในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่อง โดยยอดขายรวมสูงกว่า 274,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามคาดได้รับการชดเชยเข้ามาบ้างจากเม็ดเงิน LTF คาดทยอยเข้ามามูลค่าไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท ในไตรมาสา 4/2561 และการยื่นซองประมูลโครงการรถไฟฯ เชื่อม 3 สนามบิน วันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 คาดว่าจะมีแรงเก็งกำไรกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. ไอร่า (AS) กล่าวเพิ่มว่า นอกจากนี้ยังคงต้องจับตาการประชุม กนง. ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 หลังมติล่าสุดเสียงในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มจาก 1 เสียง เป็น 2 เสียงส่วนเศรษฐกิจในประเทศคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ฟื้นตัวจากช่วง High Season ของทุกๆ ปี
ส่วนสถานการณ์ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เองก็มีท่าทีที่จะเร่งพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังอัตราเงินเฟ้อ และ Bond Yield สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฟดจะมีการประชุมในช่วงที่เหลือของปีนี้อีก 2 ครั้งคือ วันที่ 7 – 8 พ.ย. และ 18 – 19 ธ.ค. นี้ และมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่ออิหร่าน ซึ่งมีผลเมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา อาจส่งผลต่อการขึ้น-ลงของราคาน้ำมัน
ดังนั้นจังแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ EEC ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้อานิสงส์จากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่ารวมกว่า 200,000 ล้านบาท กำหนดยื่นซอง 12 พฤศจิกายน นี้ เช่น ITD, CK, STEC และ UNIQ เป็นต้น รวมทั้วหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ที่ได้ประโยชน์ภายใต้ความคืบหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ EEC คาดช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นการลงทุนจากต่างชาติ และคาดความต้องการที่ดินในนิคมฯ มีแนวโน้มดีขึ้น หุ้นที่น่าสนใจ เช่น AMATA และ WHA เป็นต้น
นอกจากนี้หุ้นกลุ่มธนาคาร ก็ได้ประโยชน์จากการปล่อยสินเชื่อ และภายใต้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น คาดว่าจะส่งผลดีต่อ Net Interest Margin ปรับเพิ่มขึ้น หุ้นที่น่าสนใจ เช่น BBL และ KTB ซึ่งสินเชื่ออิงอัตราดอกเบี้ยลอยตัว สัดส่วนสูงถึง 88% และ 85% ตามลำดับ รวมไปถึงหุ้นที่ผลประกอบการมีแนวโน้มกลับมาเติบโตต่อเนื่องในปี 2562 ได้แก่ BBL, CHG, DTAC, PTTEP, SCC และ SUN เป็นต้น
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit