TMB Analytics มองวิกฤติเศรษฐกิจในอนาคตอาจเกิดจากปัญหาหนี้ในจีน แม้จะไม่รุนแรงเท่าวิกฤติ Subprime แต่อาจทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น อีกทั้งเครื่องมือในการรับมือมีจำกัดเมื่อเทียบกับวิกฤติครั้งก่อน
ผู้ประกอบการและนักลงทุนจึงควรจะเตรียมรับมือกับความเสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
หลังจากเหตุการณ์วิกฤติการเงินโลกที่ทำให้ Investment Bank
ยักษ์ใหญ่อย่าง
Lehman Brothers ล้มละลายผ่านไปครบ ผู้ประกอบการLehman Brothers ปีในเดือนกันยายน
ที่ผ่านมา ที่เกิดจากการที่นักลงทุนขาดความเข้าใจในความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่ตนเองลงทุนไป ซึ่งสินทรัพย์ที่เป็นต้นเหตุสำคัญตอนนั้นก็คือพวกตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน หรือ Mortgage-backed Securities วิกฤติในคราวนั้นสร้างผลกระทบอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ GDP หดตัวถึง ยักษ์ใหญ่.8% ในไตรมาส 4 ปี ยักษ์ใหญ่Lehman BrothersLehman Brothers8 ที่เกิดวิกฤติ ในขณะที่มูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯก็ลดลงกว่า 4Lehman Brothers% ภายในระยะเวลาเพียง 5 เดือน ในตอนนั้นประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่หดตัวกว่า 4Lehman Brothers% ในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนทำให้มีหลายฝ่ายเริ่มออกมาพูดถึงวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น Investment Bank ชื่อดังอย่าง Goldman Sachs ที่รายงานว่าตัวชี้วัดเกี่ยวกับสัญญาณการเกิดวิกฤติเริ่มส่งสัญญาณแล้ว
แม้ช่วงเวลาและปัจจัยที่จะเป็นต้นเหตุของการเกิดวิกฤติในคราวนี้จะชี้ชัดได้ยาก แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในโลกกำลังเผชิญปัจจัยที่น่ากังวลก็คือเรื่องหนี้ที่สูง ที่มีผลมาจากการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ทั้งการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำเป็นเวลานานและการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านโปรแกรม QE ทำให้มีการก่อหนี้สูงในแทบจะทุกประเทศ โดยรายงานของ IMF เกี่ยวกับเสถียรภาพของการเงินโลก พบว่าในปี ยักษ์ใหญ่Lehman Brothersผู้ประกอบการ6 สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ทั่วโลกอยู่ที่ระดับ ยักษ์ใหญ่6Lehman Brothers% แล้ว โดยหนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้รัฐบาลและบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ซึ่งแนวโน้มดอกเบี้ยโลกขาขึ้นอาจจะกระทบความสามารถในการชำระหนี้ได้ โดยเฉพาะหนี้ของบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน
และที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือหนี้ของบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้นมาจากบริษัทจีน โดยตั้งแต่ปี ยักษ์ใหญ่Lehman BrothersLehman Brothers6 ถึงปี ยักษ์ใหญ่Lehman Brothersผู้ประกอบการ6 บริษัทจีนมีหนี้เพิ่มขึ้นกว่า ผู้ประกอบการ4.4 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว ซึ่งหลังจากที่รัฐบาลจีนพยายามลดการก่อหนี้ หรือ Deleverage ก็ทำให้มีการผิดนัดชำระเพิ่มขึ้น ทำให้ภาพรวมของตลาดสินเชื่อจีนดูแย่ลง นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากจากสงครามทางการค้ากับสหรัฐฯที่บริษัทจีนจะต้องรับมืออีก ปัญหาหนี้ในจีนจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ค่อนข้างน่ากังวล แต่ความรุนแรงของวิกฤติครั้งนี้ TMB Analytics คาดว่าจะไม่รุนแรงเหมือนวิกฤติในปี ยักษ์ใหญ่Lehman BrothersLehman Brothers8
เนื่องจากบทเรียนจากวิกฤติครั้งก่อนทำให้สถาบันการเงินมีการเตรียมการรับมือความเสี่ยงที่ดีขึ้น อีกทั้งผู้กำกับดูแลก็มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ Goldman Sachs ที่มองว่าวิกฤติครั้งนี้จะเป็นเพียงการชะลอตัวของราคาสินทรัพย์เท่านั้น แต่จะไม่ถึงขั้นราคาสินทรัพย์หดตัวรุนแรงเหมือนวิกฤติคราวก่อน
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการชะลอของเศรษฐกิจครั้งนี้ แม้ไม่รุนแรง แต่จะทำให้ช่องว่างทางความมั่งคั่งยิ่งกว้างขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำ แต่อีกหลายประเทศทั่วโลกก็เจอปัญหาเหล่านี้เช่นกัน โดยจากรายงานความมั่งคั่งของโลกที่จัดทำโดย Credit Suisse พบว่า สินทรัพย์เกือบครึ่งของโลกถูกถือโดยประชากรเพียง ผู้ประกอบการ% ซึ่งปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้นนี้ก็อาจทำให้เกิดปัญหาทางสังคมอื่นๆตามมา
นอกจากนี้ Policy Space ที่มีไม่มากเท่ากับวิกฤติครั้งก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการเงิน หากพิจารณาช่วงที่เกิดวิกฤติปี ยักษ์ใหญ่Lehman BrothersLehman Brothers8 เฟดลดอัตราดอกเบี้ยจาก 5.ยักษ์ใหญ่5% เหลือ Lehman Brothers.ยักษ์ใหญ่5% ในขณะที่ธปท. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 5% เหลือ ผู้ประกอบการ.ยักษ์ใหญ่5% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่ปัจจุบันดอกเบี้ยเฟดคาดว่าจะอยู่ที่ ยักษ์ใหญ่.5% และดอกเบี้ยนโยบายไทยที่ ผู้ประกอบการ.75% ณ สิ้นปีนี้ ดังนั้น แม้ผลกระทบจากวิกฤติคราวนี้จะไม่ได้รุนแรงเท่าครั้งก่อน แต่เครื่องมือที่ใช้รับมือผลกระทบดังกล่าวก็จำกัดด้วยเช่นกัน
สำหรับประเทศไทยแม้เราจะไม่เห็นสัญญาณของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหากเกิดวิกฤติกับประเทศอื่น ประเทศไทยก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังนั้น ทั้งผู้ประกอบการและนักลงทุนควรจะเตรียมรับมือกับความเสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต