ทั้งนี้ คาวาซากิ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ติดตั้งเครื่องจักรสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า Gas Engine ในโครงการเบิกไพร โคเจนเนอเรชั่น โรงไฟฟ้าแบบพิเศษขนาด 100 เมกะวัตต์ ด้วยการนำระบบ Hybrid Combine Cycle มาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งจะเป็นการผสมผสานการใช้งานระหว่างเครื่อง Gas Engine และ Gas Turbine สามารถรองรับความต้องการกระแสไฟฟ้าทั้งกลางวันและกลางคืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นโครงการนำร่องสำหรับโรงไฟฟ้าเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่จะมีขึ้นต่อไปในอนาคต
สำหรับ Gas Engine นั้นจะมีประสิทธิภาพดีกว่าการผลิตไฟฟ้าแบบเดิม (Gas Turbine) โดยมีประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานไฟฟ้า 49.5% ในขณะที่ Gas Turbine มีประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า ประมาณ 30% เท่านั้น นอกจากนี้ยังปล่อย NOx ในปริมาณที่ต่ำกว่า 200 ppm และใช้เวลาเริ่มเดินเครื่องจนถึงเต็มกำลังการผลิตไฟฟ้าเพียงประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้น
ที่ผ่านมานั้น Gas engine มียอดขายทั้งหมดตั้งแต่เริ่มการผลิตมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งสิ้น 150 เครื่องทั้งในประเทศญี่ปุ่น และประเทศต่างๆ อาทิ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย อินเดีย ไทย และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ Gas Engine ของคาวาซากิ มีสัดส่วนในตลาด Gas Engine การผลิตพลังงานไฟฟ้าในญี่ปุ่นสูงถึง 90% และประเทศไทยได้นำมาใช้ ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 5 เครื่อง โดยแบ่งเป็นที่โครงการเบิกไพร โคเจนเนอเรชั่น 3 เครื่องและในโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศอีก 2 เครื่อง ทั้งนี้ คาวาซากิ ตั้งเป้ายอดขาย Gas Engine ไว้ 5 – 10 เครื่องในปีนี้ และในปี พ.ศ.2568 ตั้งเป้ายอดขายไว้ 20 เครื่องต่อปี เนื่องจากในปี พ.ศ.2561 โรงไฟฟ้าเอสพีพี ล็อตแรก กำลังจะหมดสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับภาครัฐ ประมาณ 500 เมกะวัตต์ ดังนั้น คาวาซากิ จึงเล็งเห็นถึงโอกาสในการทำการตลาดในประเทศไทย ด้วย Gas Engine ที่มีประสิทธิภาพที่ดีกว่า และยังช่วยลดมลภาวะ ตอบโจทย์ความต้องการการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างสูงของประเทศไทย จึงเหมาะที่จะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของเครื่องผลิตพลังงานไฟฟ้าที่นักลงทุนให้ความสนใจสำหรับลงทุนด้านพลังงานในประเทศไทย
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit