นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr. Komsorn Prakobpol, Head of Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU) กล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มเทรนด์ขาขึ้นระยะยาวตั้งแต่ต้นปี 2014 เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มลดการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านมาตรการ QE ซึ่งทำให้ดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงปลายปีที่แล้ว แต่ในปีนี้ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้กลับมาอ่อนค่าลงราว 2% นับจากต้นปี โดยปัจจัยหลักๆ มาจากการที่ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไปหลังจากยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ในเดือน พ.ค. ออกมาน่าผิดหวัง อย่างไรก็ตามดัชนีชี้วัดตลาดแรงงานตัวอื่นๆ ยังคงแข็งแกร่ง และเราคาดว่า Fed จะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยช่วงปลายปี ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าอยู่ในขณะนี้ กลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
"เรามองว่า ดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นในระยะยาว โดยเราคาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งในปีนี้ ในการประชุมเดือนธันวาคม และขึ้นอีก 3 ครั้งในปีหน้า ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าจะทรงตัวที่ 1.5% ไปจนถึงปลายปีหน้า ดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยในไทยที่ทรงตัวจะส่งผลดึงดูดเม็ดเงินลงทุนกลับไปยังสหรัฐฯ และส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินบาท" นายคมศร กล่าว
เราคาดว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท ณ สิ้นปี 2559 และ 2560 จะอยู่ที่ 36.6 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และ 37.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ และแนะนำเพิ่มน้ำหนักลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ ท่ามกลางความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกที่ยังมีอยู่มากในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และมีโอกาสได้กำไรจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่จะกลับมาเป็นเทรนด์แข็งค่าในระยะยาว
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit