ศาสตราจารย์ นายแพทย์ วรพงษ์ มนัสเกียรติ ประธานศูนย์ผิวหนัง SiPH กล่าวว่า ศูนย์ผิวหนัง SiPH ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือน มิถุนายน 2557 เพื่อตอบสนองนโยบายของการเป็นโรงพยาบาล ที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคซับซ้อน ซึ่งครอบคลุมถึงโรคผิวหนังและเส้นผม ด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่ได้รับวุฒิบัตรสาขาผิวหนัง และเส้นผม ได้แก่ กลุ่มเลเซอร์ (Laser) กลุ่มผื่นแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis) กลุ่มโรคติดเชื้อทางผิวหนัง (Infectious Skin Diseases) กลุ่มเส้นผมและหนังศีรษะ (Hair and Scalp) กลุ่มภูมิแพ้ผิวหนัง (Skin Allergy) กลุ่มโรคผิวหนังที่เกี่ยวกับแสง (Photo Dermatology) ปัจจุบันศูนย์ฯ มีจำนวนผู้ป่วยที่มาเข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกรวม 16,211 ราย มีอัตราการเติบโต มากกว่า ร้อยละ 138 นับจากเปิดให้บริการในปี 2557 สถิติของ 5 โรคที่ผู้ป่วยเข้ามาพบแพทย์มากที่สุด ได้แก่ อาการของโรคผิวหนังอักเสบ สิว ผมร่วงจากพันธุกรรม ฝ้า หูด และการรักษาด้วยหัตถการที่เกิดขึ้นส่วนมาก ได้แก่ การเลเซอร์ผิวหน้า การฉีดยาเข้ารอยโรค การขูดเชื้อที่ผิวหนัง การจี้ด้วยความเย็น และการตัดชิ้นเนื้อทางผิวหนัง โดยเราเน้นการให้บริการ ด้วยจริยธรรม ไม่เน้นการแพทย์ในเชิงพาณิชย์ เลือกวิธีการรักษาที่ เหมาะสมกับผู้ป่วยในแต่ละรายตามความจำเป็น
"จุดเด่นของศูนย์ผิวหนัง SiPH คือ เราเน้นให้การรักษาและบริการด้วยคุณภาพและจริยธรรม โดยทีมแพทย์ที่ได้รับวุฒิบัตรสาขาผิวหนัง ที่มีประสบการณ์และความเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางครอบคลุมทุกสาขาเกี่ยวกับโรคผิวหนังและเส้นผมระดับแนวหน้าของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเลเซอร์ โรคผิวหนังผื่นแพ้สัมผัส โรคผิวหนังที่เกี่ยวกับแสง มะเร็งผิวหนัง ไปจนถึงปัญหาเส้นผมและหนังศีรษะ โดยเน้นการรักษาร่วมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย ปลอดภัยตามระดับมาตรฐานสากลแบบ JCI ล่าสุดศูนย์ ฯ ได้นำเทคโนโลยี IPL ที่ใช้ Selective Waveband Technology (SWT) ด้วยความยาวคลื่นที่ สามารถครอบคลุมทุกปัญหาผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า IPL ทั่วไป ใช้ในการรักษากระ จุดด่างดำ รอยแดงสิว เส้นเลือดฝอย และการกำจัดขน โดยใช้จำนวนครั้งในการรักษาลดลง แต่เห็นผลได้ชัดเจน มีเพียงที่ SiPH เท่านั้นที่ให้บริการ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดนี้ และยังมีแพทย์และทีมผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการปลูกผมถาวร ด้วยเทคโนโลยี Strip Harvest Follicular Unit Transplantation คือ การย้ายเซลส์รากผมจากบริเวณท้ายทอยนำมาปลูกใหม่ในส่วนที่ต้องการ โดยไม่ทำลายรากผมเดิมที่ยังแข็งแรงอยู่ " ประธานศูนย์กล่าว
ด้าน ผศ.นพ.รัฐพล ตวงทอง แพทย์ด้านผิวหนัง สาขาโรคเส้นผม กล่าวถึงปัญหาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะว่า ปัญหาผมบาง ศีรษะล้าน (Androgenetic alopecia) เป็นอาการที่พบได้ทั้งชายและหญิง สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด คือ เกิดจากพันธุกรรมและฮอร์โมน โดยพันธุกรรมนั้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีประวัติพ่อแม่ พี่น้อง หรือญาติ มีผมบางและศีรษะล้าน ซึ่งลักษณะดังกล่าวจะถูกถ่ายทอดมาสู่รุ่นลูกหลาน นอกจากนี้ ฮอร์โมนก็เป็นตัวกระตุ้นร่วมกับพันธุกรรม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เส้นผมคือจะมีขนาดเส้นเล็กลงเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับความหนาแน่นของเส้นผมที่ลดลง จนเกิดอาการผมบางตามมา และถ้าเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็อาจถึงขั้นศีรษะล้านในที่สุด
ในส่วนวิธีการรักษานั้น นพ.รัฐพล แนะนำว่าปัจจุบันมีวิธีใหม่ เรียกว่า "การปลูกผมไร้แผลเป็นยาว" (FUE) Follicular Unit Extraction ซึ่งเป็นวิธีที่คิดค้นเพื่อลดแผลเป็นจากการผ่าตัดบริเวณท้ายทอย โดยใช้เครื่องมือพิเศษที่มีหัวเจาะทำจากโลหะไททาเนียมเพื่อทำการย้ายเซลล์รากผมจากบริเวณท้ายทอยมาปลูกบริเวณที่มีศีรษะล้าน ซึ่งหลังการผ่าตัด จะมีแผลขนาดเล็กมากจนแทบมองไม่เห็น ประมาณจุดละ 1 มิลลิเมตรเท่านั้น ซึ่งแผลจะหายเองโดยไม่ต้องเย็บแต่อย่างใด
"แม้วิทยาการทางการแพทย์จะก้าวหน้าจนรักษาอาการผมบาง ศีรษะล้านได้ แต่คงไม่มีใครอยากสูญเสียผมก่อนวัยอันควรแน่ การป้องกันจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ด้วยการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง กินอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ที่สำคัญไม่ควรเครียด และทำจิตใจให้เบิกบานอยู่เสมอ และเมื่อเริ่มมีอาการผมบาง ศีรษะล้าน ควรรีบมาพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ" นพ.รัฐพลแนะด้าน รศ.พญ.วรัญญา บุญชัย แพทย์ด้านผิวหนัง ผู้เชี่ยวชาญด้านผื่นแพ้สัมผัส กล่าวถึงสาเหตุของโรคผื่นแพ้สัมผัสว่าเกิดจากการสัมผัสกับสารที่อาจก่อให้เกิดการแพ้ ซึ่งอาจมาจากของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำหอม น้ำยาย้อมผม สารในยาสีฟัน เครื่องสำอาง การรักษาทั่วไป คือ การรับประทานยาแก้แพ้ ใช้ยาทาเพื่อลดการอักเสบ แต่ถ้าต้องการทราบสาเหตุ ของผื่นแพ้สัมผัสที่แน่ชัดผู้ป่วยสามารถทำการทดสอบภูมิแพ้สัมผัสได้ เรียกว่า Patch Test โดยแพทย์จะทำการแปะชุดทดสอบทิ้งไว้บนแผ่นหลัง จากนั้น 3 และ 5 วัน แพทย์จะนัดเข้ามาอ่าน และวิเคราะห์ผล เพื่อประเมินการรักษา และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของผื่นคัน
หนึ่งในเซเลปคนสวยที่มาร่วมงาน คุณน้ำหวาน-ณพวงศ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ได้เปิดเผยถึงเคล็ดลับการดูแลผิวหน้าของเธอว่า ส่วนตัวคิดว่า การดูแลผิวพรรณ ก็ถือเป็นการดูแลภาพลักษณ์ให้ดูดีเช่นกัน ซึ่งต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนัง ให้ถูกต้องเหมาะสม มั่นใจได้ว่าปลอดภัย ขณะเดียวกัน เราควรดูผิวให้สวยจากภายในสู่ภายนอก ตนชอบรับประทานมะเขือเทศ และดื่มน้ำเปล่ามากๆ เวลาออกข้างนอกต้องทาครีมกันแดด คิดว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดสำหรับผิวพรรณของตนเอง ยิ่งเมื่อวัยเริ่มเข้าสู่เลข 3 เริ่มมีริ้วรอย ฝ้า กระ มีมากขึ้นจึงเริ่มเป็นกังวล จึงเริ่มเข้ามาปรึกษากับคุณหมอที่โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ให้ช่วยดูแลให้ ซึ่งคุณหมอที่นี่ดูแลและบริการดีมาก ประทับใจทุกครั้งที่มาใช้บริการ
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit