ซึ่งวันนี้ทางสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทยมีวิธีการทำตาสองชั้นแบบต่างๆ มาแนะนำให้รู้จักกันก่อนที่จะตัดสินใจไปเลือกทำ เพื่อจะได้ชั้นตาที่ออกมาสวยงาม ถูกใจ ปลอดภัยและไม่เกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้นอีก
นายแพทย์ชลธิศ สินรัชตานันท์ ในฐานะประธานสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งเอเชีย และนายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า คนไทยมีปัญหาเรื่องตาชั้นเดียว ตาเล็ก ตาตี่ ชั้นตาหลบใน ขนตาคุด และตาบวมเพราะไขมันที่เปลือกตาบนมากเกินไป ค่อนข้างเยอะ ซึ่งทำให้มีผลต่อเรื่องของบุคลิกภาพโดยตรง ปัจจุบันการทำตาสองชั้นจึงเข้ามาเป็นทางเลือก เพราะทำให้ได้ดวงตาที่สวยงามและสร้างความมั่นใจให้คนไข้ได้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการทำตาสองชั้นวิธีการที่หลากลาย ซึ่งแต่ละอย่างมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไปดังนี้
" การทำตาสองชั้นเดิมมีด้วยกัน 2 วิธีคือ 1. แบบ Closed หรือ Blind technic เป็นการปลิ้นตาออกมาและเย็บเก็บจากด้านใน วิธีนี้ไม่มีการกรีดตาหรือการตัดชั้นไขมันใดๆ ออกไป วิธีนี้จะเจ็บตัวน้อยแต่เป็นวิธีที่ไม่ถาวรและอยู่ได้ไม่นานก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม 2. แบบ Opened จะเป็นวิธีที่กรีดตั้งแต่หัวตาจนถึงหางตา วิธีนี้จะตัดหนังตาเพื่อเข้าไปเย็บข้างในเพื่อทำชั้นหนังตาและจะมีการสอยปิดแผล วิธีนี้จะได้ชั้นหนังตาที่แน่นอนแต่ใช้เวลาพักฟื้นนานและเกิดรอยแผลเป็นขนาดใหญ่เวลาหลับตาจะเห็นรอยอย่างชัดเจน"แต่ปัจจุบันการทำตาสองชั้น มีวิธีใหม่เรียกว่า เทคนิคการทำตาสองชั้นด้วยการเจาะรูขนาดเล็ก (The short Incision Upper Blepharoplasty) และตัดไขมันที่เปลือกตาออก เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้ผู้ใช้บริการ
"วิธีนี้เป็นการนำข้อดีของการทำตาสองชั้นแบบเดิมของทั้ง 2 วิธีมาปรับใช้ตามความเหมาะสม โดยใช้วิธีการเจาะรูเล็กๆ และเข้าไปตัดชั้นหนังตาออกเพียงเล็กน้อยและเข้าไปเย็บเหมือนเป็นการพับผ้าโดยที่ไม่ต้องตัดหนังออก ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้เกิดแผลเล็กมากจนแทบมองไม่เห็น นอกจากนี้ยังสามารถตัดไขมันส่วนเกินที่แทรกอยู่ในเปลือกตาบนออกมาได้ ทำให้เกิดชั้นตาที่สวยงาม และแก้ปัญหาตาบวม ตาตก ขนตาคุดได้อีก"
สำหรับเทคนิคการทำตาสองชั้น ด้วยวิธีการเจาะรูขนาดเล็ก (The short Incision Upper Blepharoplasty) นี้นายแพทย์ชลธิศ สินรัชตานันท์ เป็นผู้คิดค้นขึ้นและเริ่มทดลองทำครั้งแรกตั้งแต่ปี 2530 ซึ่งถือเป็นแพทย์ไทยคนแรกของโลกที่คิดค้นเทคนิคดังกล่าวขึ้น และใช้เวลาพัฒนาประมาณ 4-5 ปี จนทำให้เกิดแผลขนาดที่เล็กมาก และเป็นการทำตาสองชั้นแบบถาวรเพราะผลการวิจัยยืนยันได้ว่า ผู้ที่ทำตาสองชั้นด้วยวิธีนี้ตั้งแต่ยุคแรก จนถึงปัจจุบันตาสองชั้นยังคงสภาพเป็นชั้นสวยงามอยู่
ทั้งนี้นายแพทย์ชลธิศ ได้เขียนเผยแพร่ความรู้ดังกล่าวเป็นตำราแพทย์เพื่อให้กับแพทย์รุ่นใหม่ๆ ทั่วโลกได้ศึกษาในชื่อ Asian Blepharoplasty ซึ่งปัจจุบันแพทย์ชาวต่างชาติได้ให้การยอมรับเทคนิคดังกล่าว รวมทั้งสนใจเข้ามาศึกษาอย่างจริงจังเพราะนับว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมการทำตาสองชั้นของโลกทีเดียว
สำหรับข้อดีของการทำตาสองชั้น โดยการเจาะรูขนาดเล็ก คือ แผลเล็กมาก เจ็บน้อย หลังผ่าตัดไม่ต้องพักฟื้น สามารถทำงานได้ตามปกติ นอกจากนี้ยังสามารถแก้ปัญหาเรื่องตาต่างๆ ได้อีกด้วย เช่น หนังตาบนหย่อน กล้ามเนื้อตาหย่อน ขนตาคุด รวมทั้งหน้าผากย่น และ ร่องตาลึก หรือเบ้าตาลึก ซึ่งแพทย์เรียกว่า Sunken Eyeball
โดยปัญหาเรื่อง ร่องตาลึก หรือเบ้าตาลึก นี้ นายแพทย์ชลธิศ กล่าวว่า คนไทยและคนเอเชียส่วนหนึ่งจะมีเบ้าตาที่เป็นร่องลึกโบ๋ เกิดรอยพับย่นที่ใบหน้าทำให้ดูหน้าเศร้าตลอดเวลาซึ่งคนจีนเชื่อว่า โหงวเฮ้งไม่ดี เพราะ ทำให้ใบหน้าที่ไม่มีสง่าราศี อาการตาตกเกิดจากการที่มีไขมันบริเวณเปลือกตาบนไม่เพียงพอ ทำให้เปลือกตาบนนั้นหย่อนยาย เกิดรอยพับที่ไม่สม่ำเสมอ
วิธีการแก้ปัญหานี้ ตรงข้ามกับปัญหาตาชั้นเดียว หรือตาบวมที่มีไขมันมากเกินไป เรียกเทคนิคนี้ว่า การปลูกถ่ายไขมัน (Fat Transfer) โดยนำไขมันจากบริเวณสะดือหรือหน้าท้องของคนไข้มาปลูกถ่ายช่องว่างบริเวณกล้ามเนื้อหลับตา (Orbicularis oculi muscle)บริเวณนี้จะมีหลอดเลือดอยู่เป็นจำนวนมากและจะไม่เกิดการตึง ส่วนใหญ่ไขมันที่นำปลูกถ่ายมา 90% จะมีชีวิตอยู่ ภายหลังจากการปลูกถ่ายจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน คือ รอยพับและรอยย่นส่วนบนจะเนียนเรียบขึ้น ทำให้ดวงตาสดใส สวยงามขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติการทำตาสองชั้นไม่เพียงทำให้ตาสวยงามขึ้น แต่ยังสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับผู้เข้ามารับบริการ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมต่างๆ ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดรอบครอบ พร้อมประวัติและผลงานของแพทย์นั้นๆ เพื่อจะได้ผลลัพท์คือ ความสวยงาม ตามที่ต้องการ
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit