เสวนา "วิเคราะห์ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ..."

          นักกฎหมายชี้ ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไม่ได้มาตรฐาน EU เพราะ "ขาดหัวใจหลัก" คือการขอความยินยอมในขั้นเก็บข้อมูล สร้างอุปสรรคการค้ากับต่างประเทศ ร่างกฎหมายยังเขียนไว้กว้าง เปิดช่อง "กฎกระทรวง" และ "ประกาศคณะกรรมการ" เนื้อหาในร่างฯ มีข้อยกเว้นเต็มไปหมด จนไม่รู้ว่าจะมีกฎหมายนี้ไปทำไม
          เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 ได้มีเวทีสัมมนาย่อยหัวข้อ "วิเคราะห์ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ..." ณ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น ซึ่งมีผู้ร่วมสัมมนาได้แก่ กฤษฎา แสงเจริญทรัพย์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี, จอมพล พิทักษ์สันตโยธิน อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, คณาธิป ทองรวีวงศ์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น และอรวิภา พึ่งเงิน นักวิชาการอิสระด้านสื่อสารมวลชน
          ทั้งนี้ การสัมมนาเวทีย่อยดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ "เวทีว่าด้วยการอภิบาลอินเทอร์เน็ตและการเตรียมตัวขององค์กรประชาสังคมในประเทศไทย" ซึ่งจัดโดยมูลนิธิเอเชีย, สภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น, โครงการจัดการความรู้เพื่อขับเคลื่อนสังคมปลอดพนันภายใต้มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์, มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ, มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และองค์กรเครือข่าย
          คณาธิปกล่าวว่า ปัจจุบันเราถูกเก็บข้อมูลจากทั้งรัฐและเอกชน และการเก็บข้อมูลบางอย่าง เช่น รถของกูเกิลที่วิ่งถ่ายภาพท้องถนนและอาคารต่างๆ เพื่อไปทำเป็นบริการกูเกิลแมป (Google Map) นั้น ไม่ได้เก็บแค่ข้อมูลภาพ แต่รถยังสามารถเก็บข้อมูลไวไฟระหว่างที่รถวิ่งผ่านเก็บมาด้วย ทำให้ทุกวันนี้ เราไม่รู้ตัวเลยว่าเรากำลังถูกเก็บข้อมูลอะไรอยู่บ้าง 
          การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลจะรุนแรงขึ้นอีก เมื่อมาถึงยุคของ Internet of Things (IoT) ที่อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ จะสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้
          ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยต้องมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่นเดียวกับประเทศในสหภาพยุโรปและประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ ที่มีกฎหมายนี้มานานแล้ว
          ซึ่งหัวใจหลักของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล คือต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลใน 3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ 1.ขั้นตอนการเก็บข้อมูล 2. ขั้นตอนการนำข้อมูลไปประมวลผล 3.ขั้นตอนการเผยแพร่ข้อมูล นอกจากนี้ การขอความยินยอมต้องเป็นชัดแจ้ง ไม่ใช่การขอข้อมูลโดยปริยาย และหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลต้องมีความเป็นอิสระ
          ทว่าในร่างกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับปัจจุบัน ซึ่งเป็นหนึ่งในกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล ที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานั้น ขาดหลักการขอความยินยอมในขั้นการเก็บข้อมูล ซึ่งเป็นขั้นแรกและเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด แม้ว่าจะมีการขอความยินยอมในขั้นการประมวลผลหรือนำข้อมูลไปเผยแพร่ก็ตาม ซึ่งจุดนี้เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญของร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว
คณาธิปกล่าวต่อว่า กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทย ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากเหตุผลทางเศรษฐกิจ เพราะประเทศไทยต้องติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ ซึ่งย่อมต้องมีเรื่องการไหลเวียนของข้อมูล ประเทศไทยจึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำให้กฎหมายที่เกี่ยวกับข้อมูลให้มีความเป็นสากล
          "เห็นได้จากแนวปฏิบัติของอียูในมาตรา 25 ที่บอกว่า หากประเทศไหนไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือมีแต่ไม่ได้มาตรฐานทัดเทียมอียู ประเทศในอียูก็ไม่สามารถส่งออกข้อมูลไปยังประเทศเหล่านั้นได้"
          นี่จึงเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจสำหรับประเทศที่ไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือมีแต่ไม่ได้มาตรฐาน 
          ข้อได้เปรียบอีกอย่างหนึ่งของการที่ประเทศมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลคือ ตามความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (General Agreement on Tariffs and Trade-GATT) มาตรา 14 ระบุให้ประเทศสามารถกีดกันทางการค้าต่ออีกประเทศได้ หากประเทศที่จะค้าขายด้วยนั้นไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล คณาธิปกล่าวว่า หากประเทศไทยมีกฎหมายนี้ ก็สามารถใช้เป็นเหตุผลในการกีดกันทางการค้าเพื่อปกป้องผู้ผลิตสินค้าบางประเภทในประเทศได้
          เหตุผลทางเศรษฐกิจเหล่านี้เป็นข้อดีของการมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล นอกเหนือไปจากเหตุผลเรื่องสิทธิส่วนบุคคล

          กฤษฎากล่าวว่า ในหลักการและเหตุผลของร่างกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล คือต้องการมีกฎมหายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นการทั่วไป และเพื่อขจัดอุปสรรคในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ
          ทว่าเมื่อดูจากเนื้อหาในร่างกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับปัจจุบัน ซึ่งเป็นหนึ่งในชุดร่างกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจดิจิทัลนั้น พบว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวไม่สอดคล้องหรือ "ไม่ตอบโจทย์" หลักการที่กล่าวมาข้างต้น
          กฤษฎาได้ตั้งข้อสังเกตบางประการ ดังนี้
          ร่างมาตรา 17 ที่ระบุให้คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาว่าละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลได้มีโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริง โต้แย้ง และแสดงพยานหลักฐานของตน "เว้นแต่ในกรณีจำเป็นและเร่งด่วน"
          กฤษฎากล่าวว่า ร่างมาตราดังกล่าวมีปัญหาตรงที่วลี "กรณีจำเป็นและเร่งด่วน" ซึ่งเป็นการเขียนกฎหมายที่ไม่ชัดเจน ทั้งๆ ที่กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายอาญาซึ่งกระทบกับสิทธิของบุคคล คณะกรรมการฯ จึงต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาโต้แย้งได้อย่างเต็มที่ การเขียนกฎหมายเช่นนี้ผิดหลักการพิจารณาความอาญา
          เช่นเดียวกันกับวรรคสองในร่างมาตราเดียวกัน ที่ระบุให้ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีสิทธิชี้แจงหรือโต้แย้ง เมื่อมีเหตุผลเป็นไปตามกรณีต่างๆ ตามความใน (1) ถึง (5) โดยเฉพาะใน (5) ที่กฎหมายเขียนว่าเป็น "กรณีอื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด"
          วลีดังกล่าวเป็นการเขียนกฎหมายที่ไม่มีความชัดเจน "เกิดวันดีคืนดีคณะกรรมการอยากเพิ่มกรณีใหม่อะไรเข้ามาก็ได้อย่างนั้นหรือ?" กฤษฎากล่าว
          ต่อมา ในร่างมาตรา 18 ที่ระบุให้เจ้าหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา ทว่ากลับไม่ต้องรับโทษทั้งทางแพ่งและทางกฎหมาย "เมื่อทำหน้าที่โดยสุจริต" ซึ่งมีปัญหาสองประการ หนึ่งคือ ประชาชนจะทราบได้อย่างไรว่าเจ้าหน้าที่ได้ทำหน้าที่ "โดยสุจริต" และสอง การที่เจ้าหน้าที่มีสิทธิใช้อำนาจตามกฎหมายอาญา แต่กลับไม่ต้องรับผิดใดๆ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
          ร่างมาตรา 25 และ 26 ที่กำหนดไม่ให้เก็บรวบรวมข้อมูล ใช้ หรือเปิดเผยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล เว้นแต่จะเป็น "กรณีอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง"
          อีกเช่นกัน ที่การเขียนกฎหมายด้วยถ้อยคำเช่นนี้เป็นการเขียนกฎหมายที่เปิดช่องไว้กว้างเกินไป กฤษฎากล่าวว่า กฎกระทรวงเป็นกฎที่รัฐมนตรีประจำกระทรวงเพียงคนเดียวก็สามารถออกได้โดยไม่ต้องผ่านการเห็นชอบจากใคร ทั้งๆ ที่การเขียนกฎหมายเช่นนี้จะเป็นการจำกัดตัดสิทธิของประชาชน ซึ่งต้องเขียนให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่ควรมีการกำหนดข้อยกเว้น แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเห็นว่ายังไงก็ต้องมีควรยกเว้น ตนก็เห็นว่าจะใช้กฎกระทรวงเพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอ 
          "กฎหมายที่จะกระทบสิทธิของประชาชน หากจะให้คนๆ เดียวมาตัดสิน ผมไม่เห็นด้วย"
แต่อาจเขียนโดยการเปิดช่องให้มีการกำหนดเพิ่มได้ในพระราชกฤษฎีกา เพราะอย่างน้อย พระราชกฤษฎีกาก็เป็นกฎหมายที่ออกโดยคณะรัฐมนตรีที่ต้องมาประชุมกัน
          สำหรับร่างมาตรา 28(5) ซึ่งสรุปความได้ว่า เจ้าของข้อมูลไม่มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลของตนเอง หากเป็นไปเพื่อ "คุ้มครองเจ้าของข้อมูล..." ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่เป็นปัญหา
          นอกจากนี้ การออกกฎหมายข้อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่มีข้อยกเว้นจำนวนมากเช่นนี้ ไม่ตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้มีกฎหมายเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตั้งแต่แรก

          คณาธิปกล่าวต่อว่า จากการที่ผู้ร่างกฎหมาย (สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์-สพธอ.) ชี้แจงว่า ที่ต้องเขียนกฎหมายเช่นนี้เพราะไม่ต้องการให้การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นภาระเกินไปต่อภาคเอกชนนั้น จากที่ตนได้ไปพูดคุยกับภาคเอกชน พบว่าหลักการขอความยินยอมดังกล่าวไม่ได้เป็นภาระยุ่งยากแต่อย่างใด
          คณาธิปกล่าวทิ้งท้ายเวทีว่า นอกจากร่างพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่กำลังคุยอยู่นี้แล้ว ยังมีร่างพ.ร.บ.อีกหลายฉบับที่กระทบหรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล อาทิ ร่างพ.ร.บ.ทวงถามหนี้ ซึ่งผ่านสภานิติบัญญัติมาแล้ว "อย่างเงียบๆ" และกำลังรอประกาศใช้จริง ซึ่งมีปัญหาละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเช่นกัน แต่กลับไม่มีใครให้ความสนใจ

ข่าวมหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น+คณะนิติศาสตร์วันนี้

คณะนิติศาสตร์ปรีดีพนมยงค์ DPU ชวนผู้สนใจร่วมงานเสวนา “แค่กด Like เฟซบุ๊กจะติดคุกไหม”

คณะนิติศาสตร์ปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ขอเชิญผู้สนใจร่วมงานเสวนา "แค่กด Like เฟซบุ๊ก จะติดคุกไหม" ร่วมเสวนาโดย รศ.คณาธิป ทองรวีวงศ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น ดร.จอมพล พิทักษ์สันตโยธิน คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อาจารย์กฤษฎา แสงเจริญทรัพย์ สาขานิติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี อาจารย์ปวินี ไพรทอง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และ ดร.กรรภิรมย์ โกมลาชุน คณะนิติศาสตร์ปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ซึ่งจะจัดขึ้น

เสวนา "วิเคราะห์ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ..."

นักกฎหมายชี้ ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไม่ได้มาตรฐาน EU เพราะ "ขาดหัวใจหลัก" คือการขอความยินยอมในขั้นเก็บข้อมูล สร้างอุปสรรคการค้ากับต่างประเทศ ร่างกฎหมายยังเขียนไว้กว้าง เปิดช่อง "กฎกระทรวง" และ "ประกาศคณะกรรมการ" เนื้อหาในร่างฯ...

ยุวทูตศึกษา จับมือ ‘เอแบค-เซนต์จอห์น’ ลงนาม MOU ยกระดับการศึกษามิติใหม่ การันตีคุณภาพ สนองตอบ...ต่อการก้าวสู่สากล

โรงเรียนยุวทูตศึกษา จับมือมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญและมหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น แถลงข่าวลงนามความร่วมมือ “พัฒนาการจัดการศึกษา ในมิติใหม่ของการจัดการศึกษาโรงเรียนยุวทูตศึกษา” ...

ภาพข่าว: มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น นำนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่ศึกษาวิชา Introduction to System-i เยี่ยมชมเมโทรซิสเต็มส์ฯ

มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น นำนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่กำลังศึกษาวิชา Introduction to System-i , วิชาการบริหารโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี พร้อมอาจารย์ จำนวน...

ภาพข่าว: นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น เยี่ยมชมเมโทรซิสเต็มส์ฯ

คุณยงยุทธ ศรีวันทนียกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ซอฟท์แวร์โซลูชั่น บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ ของบริษัทฯ ให้การต้อนรับ คณะนักศึกษา...

ปฏิทินข่าวกิจกรรมประจำวันนี้(2 สิงหาคม 2552)

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2552 08.30 น. “คิดดี โปรเจกต์” จัดกิจกรรม โครงการคิดดี โปรเจกต์ 5 ณ อาคารชินโสภณพานิช มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น 10.00 น. มหกรรมเอเชียนมาร์เชียลอาร์ตเกมส์ ครั้งที่ 1 ณ อินดอร์ สเต...

ปฏิทินข่าวกิจกรรมประจำวันพรุ่งนี้(2 สิงหาคม 2552)

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2552 08.30 น. “คิดดี โปรเจกต์” จัดกิจกรรม โครงการคิดดี โปรเจกต์ 5 ณ อาคารชินโสภณพานิช มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น 10.00 น. มหกรรมเอเชียนมาร์เชียลอาร์ตเกมส์ ครั้งที่ 1 ณ อินดอร์ สเต...

“คิดดี โปรเจกต์” จัดกิจกรรม โครงการคิดดี โปรเจกต์ 5

หลังจาก “คิดดี โปรเจกต์” ประกาศมอบทุนให้เยาวชนสร้างสรรค์ผลงานผ่าน 9 สื่อ มากว่า 4 ครั้ง ล่าสุดได้ฤกษ์งามยามดีค้นหาคิดดี รุ่นที่5 งานนี้ขนพี่เลี้ยงทั้ง 9 สื่อคุณภาพมาสัมภาษณ์แบบกันเองอีกเช่นเคย.. วันอาทิตย์ ที่ 2 สิงหาคม 2552 ณ อาคารชินโสภณพานิช...

ภาพข่าว: อีซี่บายเปิดบ้านต้อนรับนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย เซนต์จอห์นเยี่ยมชมระบบคอมพิวเตอร์ System I ครั้งที่ 2

เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2552 ที่ผ่านมา คุณ มณเทียร สมพูลสวัสดี ผู้อำนวยการฝ่ายแผนงานและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท อีซี่บาย จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับตัวแทนบริษัท ไอบีเอ็ม...