สวรส. วิจัยเสนอการจัดการระบบยา เน้นเร่งสร้างธรรมาภิบาล

          วิจัยพบ 3 จุดเสี่ยงในระบบจัดการยา เน้นเร่งสร้างธรรมาภิบาลเชื่อมโยงทุกกระบวนการสู่เป้าหมาย คุณภาพ ครอบคลุม คุ้มค่า โปร่งใส
          ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้มีนโยบายเร่งด่วนเรื่องการจัดการปัญหาการคอร์รัปชั่นภายใน กสธ. และได้แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาระบบธรรมาภิบาล และเกณฑ์จริยธรรมการจัดซื้อจัดหายาและวัสดุต่างๆ ขึ้นมาดูแลเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างยา เวชภัณฑ์ เวชภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยา วัสดุทางการแพทย์ และห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ โดยมี นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย ผู้ตรวจราชการ สธ.เป็นประธาน และมีคณะกรรมการเป็นผู้แทนจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลทุกระดับ รวมถึงมอบหมายให้สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เป็นหน่วยงานสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการเพื่อการแก้ปัญหาดังกล่าว และเตรียมความพร้อมกับการตรวจสอบทั้งจากองค์กรภายในและภายนอก เพื่อความโปร่งใสนั้น
          ศ.นพ.สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ได้เปิดเผยผลวิจัย กระทรวงสาธารณสุขกระทรวงสาธารณสุขสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข;โครงการสังเคราะห์ข้อเสนอเพื่อเสริมสร้างการอภิบาลระบบยากระทรวงสาธารณสุขกระทรวงสาธารณสุขสุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย; โดยทีมวิจัย นำโดย รศ.ดร.วุฒิสาร ตันไชย จากสถาบันพระปกเกล้า และ ศ.ดร.สกนธ์ วรัญญูวัฒนา จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่า กลไกการจัดการระบบยาของประเทศ นับเป็นระบบที่มีความสำคัญต่อการบริหารทรัพยากรด้านสาธารณสุข เนื่องจากมีการใช้งบประมาณในแต่ละปีจำนวนมาก รวมทั้งเป็นระบบที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงเรื่องความโปร่งใสเป็นอย่างมาก ดังนั้นโจทย์สำคัญที่ทีมวิจัยต้องสังเคราะห์ออกมาให้เห็นคือ เส้นทางของระบบดังกล่าวเป็นอย่างไร อะไรคือความเสี่ยง อะไรคือช่องโหว่ ช่องว่างที่ต้องเร่งอุดเพื่อให้เกิดการไหล่ลื่นของระบบอย่างมีมาตรฐานและปลอดจากการทุจริต โดยเริ่มตั้งแต่การขึ้นทะเบียนตำรับยา (Registration) การส่งเสริมการขาย (Promotion) ระบบการตรวจสอบ (Inspection) การคัดเลือกยาจำเป็น (Selection) และการจัดซื้อยา (Procurement) ซึ่งมีความเสี่ยงระหว่างทางที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การมีค่าใช้จ่ายด้านยาที่สูงขึ้น การส่งเสริมการขายที่ไม่สมเหตุสมผล การกระตุ้นให้เกิดการใช้ยาเกินความจำเป็น การทุจริตในการจัดซื้อยาของสถานพยาบาล ฯลฯ โดยเฉพาะขั้นตอนการจัดซื้อยา ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มักพบปัญหาเรื่องความโปร่งใสอยู่เสมอ ดังเช่น กรณีข่าวทุจริตจัดซื้อยา สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย,4สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ล้านบาท กรณีข่าวทุจริตสวัสดิการรักษาพยาลข้าราชการ กรณีข่าวเกี่ยวกับการรั่วไหลของยาซูโดอีเฟดรีน เป็นต้น ดังนั้นเพื่อให้การศึกษาความเสี่ยงของการจัดการระบบยาของประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น ทีมวิจัยจึงกำหนดเป้าหมายที่เกิดจากข้อเสนอเชิงนโยบาย 3 ด้านคือ สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย) การมียาที่มีคุณภาพดีเพียงพอและครอบคลุมต่อการรักษาสุขภาพของประชาชน กระทรวงสาธารณสุข) มีการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐอย่างคุ้มค่า 3) ทำให้ระบบจัดการยาของรัฐปลอดจากการทุจริตภายใต้กรอบการศึกษาเรื่องธรรมาภิบาล
          กระทรวงสาธารณสุขกระทรวงสาธารณสุขสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข;จากการวิจัยพบว่า ความเสี่ยงที่สำคัญๆ ในระบบบริหารจัดการยาในประเทศมี 3 ส่วนหลักๆ คือ สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย) ความเสี่ยงในกระบวนการขึ้นทะเบียนตำรับยา กระทรวงสาธารณสุข) ความเสี่ยงในกระบวนการคัดเลือกยาเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ และ 3) ความเสี่ยงในกระบวนการจัดซื้อยาเข้าสู่สถานพยาบาล ซึ่งความเสี่ยงแต่ละส่วนมีรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น ความเสี่ยงที่เกิดจากการมีส่วนได้ส่วนเสียของคณะกรรมการยาและผู้เชี่ยวชาญ ความเสี่ยงจากการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญการอ่านตำรับยา ความเสี่ยงที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับคณะกรรมการชุดต่างๆ ความเสี่ยงที่เกิดจากการขาดการระบุความรับผิดชอบของคณะกรรมการในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ความเสี่ยงที่เกิดจากมาตรฐานและหลักเกณฑ์ที่ใช้ประเมินยาเข้าสู่สถานพยาบาลแต่ละแห่งยังมีความแตกต่างกันเนื่องจากขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์เป็นหลัก ความเสี่ยงจากการได้มาซึ่งราคากลางยาจนทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงในการตัดราคา ฯลฯ" ศ.นพ.สมเกียรติกล่าว
          อย่างไรก็ตาม การสร้างธรรมาภิบาลของการจัดการระบบยาไม่สามารถแก้ไขแค่เรื่องใดเรื่องเดียว หากแต่ต้องมองให้เห็นกระบวนการทั้งหมด เพราะแต่ละกระบวนการมีความเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกัน แม้ว่าที่ผ่านมาจุดบอดที่พบบ่อยมักเป็นขั้นตอนการจัดซื้อยาของสถานพยาบาล แต่ความจริงแล้วในขั้นตอนอื่นก็มีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย เช่น ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนตำรับยาซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการอนุญาตให้สามารถนำเข้าหรือผลิตยาเพื่อขายในประเทศ ซึ่งขั้นตอนการขึ้นทะเบียนตำรับยาเปรียบเสมือน กระทรวงสาธารณสุขกระทรวงสาธารณสุขสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข;กล่องดำกระทรวงสาธารณสุขกระทรวงสาธารณสุขสุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย; ที่มีความเสี่ยงต่อธรรมาภิบาลค่อนข้างสูง เพราะเป็นขั้นตอนที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจหรือถูกจับตามองจากสาธารณะมากนัก ดังนั้นทุกขั้นตอนของการจัดการระบบยาของประเทศจึงต้องมีการแก้ไขและพัฒนาควบคู่ไปด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเด็นจากงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายที่สะท้อนข้อมูลจากความเป็นจริงในระดับปฏิบัติ ซึ่ง สวรส.จะเร่งนำเสนอข้อมูลให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาการจัดการระบบยาของประเทศในภาพรวมต่อไป
สวรส. วิจัยเสนอการจัดการระบบยา เน้นเร่งสร้างธรรมาภิบาล


ข่าวสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข+สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัยวันนี้

ร่างแผนทศวรรษ “ระบบบริการปฐมภูมิ” เสริมศักยภาพชุมชน

เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน (สพช.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “แผนยุทธศาสตร์ทศวรรษการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ” ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ เพื่อระดมความคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิในภาพรวมของประเทศ ที่ครอบคลุมทั้งส่วนการดำเนินงานของกระทรวงฯ และส่วนงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการให้ต่อเนื่องจากแผนยุทธศาสตร์ฯ ปี 2550-2554 นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย

วิจัยพบ 3 จุดเสี่ยงในระบบจัดการยา เน้นเร่... สวรส. วิจัยเสนอการจัดการระบบยา เน้นเร่งสร้างธรรมาภิบาล — วิจัยพบ 3 จุดเสี่ยงในระบบจัดการยา เน้นเร่งสร้างธรรมาภิบาลเชื่อมโยงทุกกระบวนการสู่เป้าหมาย คุณภาพ ...

สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ร่วมกับ โรช ไทยแ... สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข จับมือ โรช ไทยแลนด์ ลงนาม MOU หนุนการพัฒนาระบบสุขภาพให้ชาวไทย — สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ร่วมกับ โรช ไทยแลนด์ ลงนาม MOU เพื่อการพ...

สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ได้จัดเว... สวรส. ถกบทเรียนวิจัยแก้วิกฤตโควิดกับการขับเคลื่อนนโยบาย สู่มาตรการลดช่องว่างสังคมไทย — สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ได้จัดเวทีเสวนา แลกเปลี่ยนเรียนรู้...