ธนาคารธนชาต ผนึกพลังสโกเทียแบงก์ช่วยเหลือผู้ส่งออกลดต้นทุน

22 Oct 2010

กรุงเทพฯ--22 ต.ค.--ธนาคารธนชาต

ธนาคารธนชาต ชูนโยบายขยายฐานลูกค้าสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และ SMEs เพื่อเพิ่มสัดส่วนของสินเชื่อธุรกิจต่อสินเชื่อรายย่อยให้เป็น 50 ต่อ 50 โดย 2-3 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 200% เน้นให้บริการแบบ Total Solution พร้อมผนึกกำลังกับสโกเทียแบงก์อาศัยเครือข่ายที่มีอยู่ทั่วโลกหนุนส่งให้กลุ่มลูกค้าผู้ส่งสินค้าออกสามารถลดต้นทุนทางการเงินได้

นางนุสรา รุนสำราญ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สายงาน Corporate Banking ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักหน่วยงานหนึ่งของธนาคารฯ มีนโยบายที่จะมุ่งเน้นขยายฐานลูกค้าสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และ SMEs ให้มากขึ้น หลังจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจด้าน Corporate Banking มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งสอดรับกับนโยบายของธนาคารที่จะมุ่งเน้นการขยายสินเชื่อธุรกิจให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญภายหลังจากที่ได้สร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์จนสามารถครองอันดับ 1 ของตลาดได้แล้ว โดยธนาคารมุ่งหวังที่จะเป็นธนาคารอันดับ 1 ใน 5 ของระบบธนาคารพาณิชย์

ในการให้บริการสินเชื่อธุรกิจนั้น ธนาคาร เน้นให้การบริการแบบ Total Solution เนื่องจากธนาคารมี License ทางการเงินอย่างครบวงจรของบริษัทในกลุ่มธนชาต ทั้งธุรกิจการธนาคาร หลักทรัพย์ หลักทรัพย์จัดการกองทุน ประกันภัย ประกันชีวิต นอกจากนี้การบริหารภายในกลุ่มธนชาตยังเป็นการบริหารแบบองค์รวมมีทีมผู้บริหารเป็นทีมเดียวกัน ทำให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังอาศัยความแข็งแกร่งของพันมิตรทั้ง 2 แห่ง คือ สโกเทียแบงก์ ซึ่งมีประสบการณ์ทางการเงินมายาวนานกว่า 175 ปี มีความเชี่ยวชาญในด้านการค้าระหว่างประเทศและการบริหารเงินตราต่างประเทศ ความแข็งแกร่งดังกล่าวช่วยสนับสนุนการบริการของธนาคารฯ ในการนำเสนอบริการทางการเงินที่เหมาะสมให้กับลูกค้าขนาดกลางและ SMEs ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากการเติบโตของ GDP กว่า 70% พึ่งการนำเข้าและส่งออก

นอกจากนี้ การที่สโกเทียแบงก์ซึ่งมีสาขาทั่วโลกมากกว่า 50 ประเทศ จะสามารถช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าส่งออก โดยธนาคารมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่จะช่วยเหลือผู้ส่งออกซึ่งทำให้ผู้ส่งออกมีต้นทุนที่ต่ำลง และยังสามารถขยายตลาดการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ธนาคารยังมีความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินตราต่างประเทศ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ในส่วนของธนาคารนครหลวงไทยนั้น จะช่วยเสริมพลังด้วยการเพิ่มข่องทางการให้บริการแก่ลูกค้าได้มากขึ้นจากสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศมากกว่า 600 สาขา

ทั้งนี้การผนึกพลังร่วมกันดังกล่าวจะส่งผลให้มีการนำเสนอบริการการขายในรูปแบบ solution ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น และจะเข้าถึงและเข้าใจความต้องการทางการเงินของลูกค้าได้อย่างแท้จริง และสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าอย่างยั่งยืน

นางนุสรา กล่าวว่า หากพิจารณาอัตราการเติบโตของ ธุรกิจ Corporate Banking ของธนาคารฯ จะพบว่ามีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างชัดเจน ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตถึง 200% ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกันนโยบายของธนาคารที่จะมุ่งเน้นการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจเป็นอย่างมาก โดยพยายามเพิ่มสัดส่วนของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ต่อรายย่อยให้เป็น 50 : 50 เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของธนาคารฯ

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจต่อไป หลังจากผนึกพลังร่วมกับธนาคารนครหลวงไทยแล้ว จะมุ่งเน้นการให้บริการแบบเป็นหนึ่ง (Unified Strengths) ของทั้ง 3 ธนาคาร โดยอาศัยจุดแข็งนำเสนอบริการทางการเงินใหม่เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้า นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นจะเพิ่มอัตราการเติบโตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม

นอกจากการมุ่งดำเนินธุรกิจให้เติบโตสอดคล้องกับนโยบายของธนาคารและผู้ถือหุ้นแล้ว สายงานฯ ยังคำนึงถึงการตอบแทนสังคม โดยภายในสายงานฯ กำหนดให้มีกิจกรรมตอบแทนสังคม หรือพัฒนาจิตใจและแนวคิดในการดำเนินชีวิตของพนักงานและลูกค้าในโครงการ “สังคมคนดี” ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีทั้งจากพนักงานภายในสายงาน, พนักงานของหน่วยงานอื่นในธนาคาร และลูกค้า ที่เรียกว่า “โครงการเรือนธรรม” โดยการเชื่อมโยงหลักธรรมะมาเป็นแนวคิดการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน เพื่อให้ดำรงชีวิตอย่างมีความสุข และแบ่งปันความสุขนี้ไปยังคนรอบข้างและสังคมต่อไป