คนไทยกระเป๋าตุง ไม่หวั่นราคาทองพุ่ง ลุยซื้อเก็บเครื่องประดับทองคำหวังผลทั้งด้านการลงทุนและเป็นความสุขทางใจ ผู้ผลิตเครื่องประดับทองคำพรีเมียมรับอานิสงค์ตลาดโตกว่า 2,000 ล้านบาท ล่าสุด โกลด์เดอรี่ (Goldlery) จากกลุ่มบ้านช่างทองกรุ๊ป สบช่องปรับแผนธุรกิจเชิงรุก เน้นสร้างแบรนด์ ชูจุดแข็งผสานความระเอียดของเทคนิคช่างทองโบราณกับการออกแบบสมัยใหม่ วางเป้าสูงครองแชร์ตลาด 30%
นางสาว สรสิดา ชานนประภาส์ ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ บริษัท สยาม โกลด์ แกลลอรี่ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องประดับทองคำแฮนด์เมด โกลเดอรี่ (Goldlery) เปิดเผยถึงสภาพตลาดของเครื่องประดับทองคำว่ามีการเติบโตขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจไทยที่เริ่มฟื้นตัว ราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการซื้อเพื่อลงทุนของประชาชนทั่วไป ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางของราคาทองนั้น มีอยู่ 2 ส่วนหลัก คือ ค่าเงินบาท และ การถือครองทรัพย์สินและการลงทุนในตลาดทองคำที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ส่วนทิศทางของราคาทองคำในปีนี้คาดว่าน่าจะเฉลี่ยทั้งปี (2553) น่าอยู่ที่ประมาณ 1,300 US$/ounce และปีหน้า (2554) อยู่ที่ 1,400 US$/ounce ซึ่งขณะนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีอย่างมากในการลงทุนในทองคำ เนื่องจากค่าเงินบาทของไทยมีการแข็งตัว ทำให้ราคาทองคำภายในประเทศยังไม่ได้ขยับสูงขึ้นมาก
จากการเติบโตของตลาดทองคำดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดกลุ่มเครื่องประดับทองคำพรีเมียมมีการเติบโตขึ้นตามไปด้วย โดยปัจจุบันมีตลาดทองคำพรีเมียมมีมูลค่าสูงตลาดสูงถึง 2,000 ล้านบาท ขยายตัวได้ประมาณปีละ 10% แม้ว่ากลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้จะยังเป็นกลุ่มที่มีขนาดเล็ก แต่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง การตัดสินใจซื้อจะอยู่ที่รูปแบบและความพึงพอใจในสินค้าเป็นสำคัญ ด้วยเหตุนี้ทางบริษัทฯ จึงมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรด์ โกลเดอรี่ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ในเครือบ้านช่างทองกรุ๊ป โดยพึ่งเปิดดำเนินการมาครบ 1 ปี โดยอยู่ภายใต้การดูแลของ บริษัท สยามโกลด์แกลอรี่ จำกัด ซึ่งเป็นส่วนที่ดูแลธุรกิจการค้าปลีกให้แก่กลุ่ม
สำหรับรูปแบบของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ โกลด์เดอรี่ จะมุ่งเน้นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ร่วมสมัยและจะเป็นเครื่องประดับทองคำในลักษณะงานแฮนด์เมด 100 % มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยผสมผสานเทคนิคและประสบการณ์กว่า 20 ปี จากช่างทองโบราณสกุลช่างเพชรบุรีของกลุ่มบ้านช่างทองกรุ๊ป ส่วนกลุ่มลูกค้ากลุ่มหลักในช่วง
เริ่มต้นนี้จะเป็นกลุ่มอายุ 30-48 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และชอบในการสะสมเครื่องประดับทองคำที่มีคุณค่าและมีการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ในตัวเองอย่างชัดเจน โดยล่าสุดเนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 1 ปี โกลด์เดอรี่ ได้จัดให้ทำผลิตภัณฑ์เครื่องประดับทองคำแฮนด์เมดชุดพิเศษขึ้น ภายใต้แนวคิด “The Fifth Element of Identity” ซึ่งได้รับแรงบันดานใจในการออกแบบจากธาตุทั้ง 4 ผสานกับอัญมณีที่เป็นเสมือนตัวแทนของแต่ละธาตุ (ดิน น้ำ ลม และไฟ)
ด้านกลยุทธ์ทางการตลาดของ โกลด์เดอรี่ นั้น จะเน้นที่การสร้างแบรนด์เป็นสำคัญ โดยนอกจากจะมีการโฆษณาและประชาสัมพันธ์แล้ว ยังมีแผนในการจัดกิจกรรมกับกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง โดยได้วางงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดไว้ที่ 10 % ของยอดขาย ส่วนช่องทางการจำหน่ายขณะนี้ จะมุ่งเน้นไปที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ นอกจากนั้นยังจับมือกับเครือ เซ็นทรัล ในการนำผลิตภัณฑ์เข้าไปจัดจำหน่ายในลักษณะ Exclusive Brand ทั้งหมด 5 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัล ลาดพร้าว บางนา พระรามสอง แจ้งวัฒนะ ชิดลม และจะเปิดเพิ่มขึ้นอีก 2 สาขา คือปิ่นเกล้า และ หาดใหญ่ ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้
ส่วนราคาทองคำที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนของผู้ผลิตเครื่องประดับทองคำในขณะนี้นั้น นางสาว สรสิดา กล่าวว่า ในส่วนของ โกลด์เดอรี่ เองถือว่าไม่ได้รับผลกระทบในส่วนนี้แต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทฯ สามารถควบคุมต้นทุนได้เป็นอย่างดี โดยผ่านทาง โกลด์ ฟิวเจอร์ส (Gold Future) นอกจากนั้นกลุ่มธุรกิจของบ้านช่างทองกรุ๊ป ยังเป็นกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจทองคำที่ดำเนินงานครบวงจร คือ ตั้งแต่การนำเข้า ผลิต และจำหน่ายเครื่องประดับ อีกทั้งยังมีการลงทุนในทองคำแท่งภายใต้บริษัท ออสสิริส จํากัด และบริษัท ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จํากัด. ซึ่งดำเนินธุรกรรมการค้า โกลด์ ฟิวเจอร์ส ที่เราเป็นโบรกเกอร์เองด้วย จึงทำให้สามารถควบคุมต้นทุนได้เป็นอย่างดี ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาของผลิตภัณฑ์ โกลด์เดอรี่ แต่อย่างใด จึงจัดว่านี่เป็นอีกข้อได้เปรียบสำคัญเหนือคู่แข่งในธุรกิจนี้ด้วยเช่นกัน
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net