พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ความต้องการอสังหาฯ แนวราบยังเติบโตดี ส่งผลต่อยอดขายบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ด้านแนวสูงทำเลย่านรถไฟฟ้ายังรุ่ง

กรุงเทพฯ--20 ส.ค.--พลัส พร็อพเพอร์ตี้

นายเมธา จันทร์แจ่มจรัส ประธานอำนวยการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยรายงานผลวิจัยสรุปภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในครึ่งปีแรก 2551 โดยฝ่ายวิจัยและพัฒนาว่า ล่าสุด บริษัทฯ ได้ทำการวิจัยทั้งในส่วนตลาดแนวราบและแนวสูง โดยตลาดแนวราบนั้นยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปีแรกมีจำนวนยูนิตเสนอขายบ้านเดี่ยวรวม 21,102 ยูนิต จาก 430 โครงการ ซึ่งเป็นยูนิตของโครงการเปิดใหม่ จำนวน 2,136 ยูนิต จาก 38 โครงการ และพื้นที่ทิศเหนือมียูนิตเสนอขายมากที่สุด 7,034 ยูนิตหรือ 35% จากทั้งหมด สำหรับส่วนแบ่งตลาดตามระดับราคาที่ใหญ่ที่สุด อยู่ในระดับราคา 3-5 ล้านบาท 9,629 ยูนิตหรือ 45% ตามด้วยราคา 5-7 ล้านบาท 4,095 ยูนิตและต่ำกว่า 1 ล้านบาท 4,080 ยูนิต ซึ่งสัดส่วนเท่ากันที่ 19% ส่วนบ้านเดี่ยวระดับบนตั้งแต่ 7 ล้านบาทขึ้นไป ครองส่วนแบ่งที่ 16% โดยที่ระดับราคา 7-10 ล้านบาท 2,231 ยูนิต (11%) ราคา 10-20 ล้านบาท 747 ยูนิต (4%) และราคามากกว่า 20 ล้านบาท 320 ยูนิต (2%) ตามลำดับ จะเห็นได้ว่า การขยายตัวของบ้านเดี่ยวยังคงเน้นระดับกลาง-ล่าง ให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ ทำให้ส่วนแบ่งตลาดบ้านเดี่ยวระดับราคากลาง-ล่าง อยู่ที่ 80% ขึ้นไปของยูนิตเสนอขายทั้งหมด ในทุกๆ รอบสำรวจ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวราคา 3-5 ล้านยังคงเป็นกลุ่มใหญ่ ทั้งนี้ พบว่า ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มมีการขยับราคาขายขึ้น เนื่องจากต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้นอีก 10- 15% โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่เคยพัฒนาโครงการในระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทมีสัดส่วนลดลงอย่างเห็นได้ชัด จาก 23% ในครึ่งปีหลัง 2550 เป็น 17%ในรอบนี้ ซึ่งสะท้อนได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยคาดว่าโครงการที่เปิดขายในอนาคตจะยังยึดราคา 3-5 ล้านบาทแต่ปรับเปลี่ยนรูปแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและสอดคล้องกับต้นทุนราคาวัสดุก่อสร้างมากยิ่งขึ้น ที่มา : ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัทพลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ยอดขายบ้านเดี่ยวขยับเพิ่มขึ้น 3% จากรอบก่อน และทิศตะวันออกมียอดขายสูงสุด ยอดขายบ้านเดี่ยว ณ ครึ่งปีแรก 2551 อยู่ที่ 7,784 ยูนิตหรือ 37% เพิ่มขึ้น 3% จากครึ่งปีหลัง 2550 และเท่ากันกับครึ่งปีแรก 2550 เนื่องจากการออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ในต้นปีที่ผ่านมา โดยการลดภาษีธุรกิจเฉพาะและค่าธรรมเนียมต่างๆ เพื่อกระตุ้นกำลังการซื้อ โดยพื้นที่ทิศตะวันออกมียอดขายมากที่สุด 2,455 ยูนิตหรือ 53% เนื่องจากบางโครงการซึ่งตั้งในทำเลที่ด้อยกว่าได้ปรับลดราคาลงอย่างมากและบางโครงการใกล้ปิดการขายจึงตั้งราคาขายราคาเดียวไม่ว่าขนาดบ้านใดก็ตาม เพื่อกระตุ้นยอดขาย อีกทั้งได้รับอิทธิพลเชิงบวกจากการวางเครือข่ายเส้นทางคมนาคมใหม่ เชื่อมโยงจากพื้นที่ชั้นในไปยังพื้นที่ชั้นนอก รวมถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้ความสนใจซื้อที่อยู่อาศัยในทำเลดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตามด้วยพื้นที่ทิศตะวันตก 1,862 ยูนิตและพื้นที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 906 ยูนิตซึ่งมีสัดส่วนเท่ากันที่ 37% และพื้นที่ทิศเหนือ 2,011 ยูนิตและพื้นที่ทิศใต้ 550 ยูนิต ในสัดส่วน 29% เท่ากัน จะเห็นได้ว่า อุปทานในทิศเหนือยังคงมีมากจากปัจจัยบวกของการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงหลังจากได้รับการอนุมัติสร้างเป็นสายต่อไป แต่จำนวนอุปสงค์กลับเพิ่มขึ้นช้ากว่า จึงทำให้ยอดขายยังอยู่ในระดับต่ำ หากวิเคราะห์ด้านอัตราการขายโดยเฉลี่ยในกลุ่มบ้านเดี่ยว พบว่า เฉลี่ยโดยรวมทั้งหมดอยู่ที่ 3.0 ยูนิตต่อโครงการต่อเดือน ซึ่งใกล้เคียงกันกับรอบก่อนๆ คือ จาก 3.2 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการในครึ่งปีแรกและ 3.1 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการในครึ่งปีหลัง 2550 จะเห็นว่าตลาดบ้านเดี่ยวมีอัตราการขายโดยเฉลี่ยเไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เมื่อเทียบกับที่อยู่อาศัยประเภทอื่นๆ อย่างไรก็ตามโครงการบ้านเดี่ยวในพื้นที่ทิศตะวันออกสามารถขายได้เร็วที่สุด ซึ่งขายได้ 5.1 ยูนิตต่อโครงการต่อเดือน ที่มา : ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด หากเปรียบเทียบยอดขายโดยเฉลี่ยตามพื้นที่ในแต่ละรอบสำรวจ พบว่า ยอดขายในแต่ละพื้นที่มีการปรับเพิ่ม-ลด แตกต่างกันไป เช่น ในพื้นที่ทิศเหนือ หลังจากยอดขายในครึ่งปีหลังเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก 2550 แล้วกลับลดลงอยู่ที่ 29% ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการความต้องการบ้านของลูกค้ายังคงที่จากรอบครึ่งปีแรก 2550 ส่วนพื้นที่ทิศใต้ ที่มีอัตราการขายลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปริมาณความต้องการได้ถูกตอบสนองไปแล้วก่อนหน้านี้ และพื้นที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีปริมาณความต้องการคงที่จากรอบเดิม มีเพียงพื้นที่ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกที่มียอดขายเพิ่มขึ้นจากการขยายความเจริญของเมืองออกไป โดยการเริ่มดำเนินการรถไฟฟ้าที่คาดว่าจะให้บริการได้ในอนาคตอันใกล้ อาทิ ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายอ่อนนุช-แบริ่งในปี 2553 รถไฟฟ้า Airport Rail Link ในปี 2552 และการอนุมัติการสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) และรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) เป็นต้น บ้านเดี่ยวระดับกลางยังได้รับการตอบรับที่ดี ถึงแม้ว่าบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาทจะมีสัดส่วนเสนอขายมากที่สุด แต่ยอดขายก็สามารถเพิ่มตามได้ โดยมียอดขายแล้วกว่า 41% จากจำนวนทั้งหมด เพราะเป็นราคาที่ลูกค้ายอมรับได้ แม้อยู่ในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว นอกจากนี้สัดส่วนบ้านเดี่ยวระดับดังกล่าวเป็นรองเพียงบ้านเดี่ยวราคา 7-10 ล้านบาทที่มียอดขายที่ 45% ส่วนบ้านเดี่ยวราคา 10-20 ล้านบาท (36%) บ้านเดี่ยวราคา 5-7 ล้านบาท (33%) บ้านเดี่ยวราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท (27%) และบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 20 ล้านบาทขึ้นไป (24%) ตามลำดับ จากปัญหาด้านเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2550 ได้ส่งผลกระทบต่อบ้านเดี่ยวราคาต่ำกว่า 3 ล้านลดลงอย่างมาก เพราะลูกค้ากลุ่มนี้มีอ่อนไหวต่อความผันผวนทางเศรษฐกิจ ที่มา : ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัทพลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด แนวโน้มตลาดบ้านเดี่ยวในครึ่งปีหลัง คาดว่าจำนวนยูนิตที่เปิดขายจะใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก ซึ่งผู้ประกอบการจะพยายามหาข้อได้เปรียบเพื่อสร้างเป็นจุดขายให้แตกต่างจากคู่แข่ง และมุ่งเน้นการบริหารต้นทุน เป็นสำคัญ เพื่อให้บริษัทสามารถอยู่รอดในสภาวะที่ต้นทุนราคาวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมียอดขายรวม ไม่ต่ำกว่า 7,700 ยูนิต ซึ่งจะเป็นบ้านในระดับราคา 3-5 ล้านบาทเป็นส่วนใหญ่ ด้านตลาดคอนโดมิเนียม นายเมธา จันทร์แจ่มจรัส กล่าวสรุปรายงานผลวิจัยเพิ่มเติมว่า พื้นที่ตามเส้นรถไฟฟ้า ยังคงมาแรง แม้ยอดขายบางพื้นที่เริ่มชะลอ ทั้งนี้ ตลาดคอนโดมิเนียมช่วงครึ่งปีแรก 2551 ภายใต้การชะลอตัวทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน พบว่า มีอุปทานเสนอขายใหม่ จำนวน 25,966 ยูนิต (71 โครงการ) เติบโตขึ้นจากครึ่งปีหลัง 2550 อยู่ถึง 23% (เพิ่มขึ้น 4,772 ยูนิต) หรือเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า 53% (9,033 ยูนิต) เน้นการพัฒนาตามเส้นทางรถไฟฟ้า BTS และ MRT เป็นหลัก ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่รัชดาภิเษก พื้นที่ธนบุรี และพื้นที่สุขุมวิทรอบนอก ยอดรวมอุปทานเสนอขายทั้งยูนิตใหม่และยูนิตคงค้างจากของเดิมเฉพาะครึ่งปีแรก 2551 จึงอยู่ที่ 30,570 ยูนิต ลดลงจากครึ่งปีหลัง 2550 เล็กน้อยที่ 1% (ลดลง 453 ยูนิต) มียอดจองแล้วจำนวน 14,710 ยูนิต ลดลงจากครึ่งปีหลัง 2550 ที่ 14% (ลดลง 2,353 ยูนิต) คงเหลือทั้งสิ้น 15,860 ยูนิต เป็นผลจากการที่ผู้ซื้อใช้เวลาตัดสินใจซื้อยาวนานขึ้นเพราะปัญหาด้านเศรษฐกิจ ประกอบกับความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของธนาคาร และผู้ประกอบการบางรายชะลอการขายเพื่อปรับราคาขายใหม่ยอดขายจึงไม่เติบโต โดยในพื้นที่รัชดาภิเษกมียอดขายสูงสุดอยู่ที่ 4,176 ยูนิต ซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้น 7% จากครึ่งปีหลัง 2550 รองลงมาคือ พื้นที่ธนบุรี อยู่ที่ 3,950 ยูนิต และพื้นที่สุขุมวิท อยู่ที่ 2,151 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 4% เพื่อดึงดูดกำลังซื้อที่เริ่มชะลอตัวในภาวะเศรษฐกิจผันผวน และบางโครงการชะลอการขายเพื่อปรับราคาใหม่ ในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ (เพลินจิต-ชิดลม, สีลม-สาทร) และพื้นที่พหลโยธินมีการปรับราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นสูงสุดเท่ากันที่ 9% อยู่ที่ 112,366 บาทต่อตารางเมตร และ 70,395 บาทต่อตารางเมตร ตามลำดับ รองลงมาคือ พื้นที่สุขุมวิท ราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 4% อยู่ที่ 90,337 บาทต่อตารางเมตร และพื้นที่พระราม 3 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 2% อยู่ที่ 71,952 บาทต่อตารางเมตร ด้านอัตราการสร้างเสร็จของห้องชุดครึ่งปีแรก 2551 ลดลงที่ 38% (ลดลง 4,867 ยูนิต) เมื่อเทียบกับครึ่งปีหลัง 2550 ณ ปัจจุบัน อยู่ที่ 7,947 ยูนิต (36 โครงการ) เนื่องจากแล้วเสร็จไม่ทันตามกำหนด และต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการบางส่วนต้องชะลอการก่อสร้างออกไป จากความผันผวนทางเศรษฐกิจและอัตราการขายในปัจจุบัน จึงคาดว่าอัตราปริมาณอุปทานคงค้าง จำนวน 15,860 ยูนิต อาจจะต้องใช้เวลาการดูดซับนานกว่า 6 เดือน ราคาขายเฉลี่ยคาดว่าจะปรับขึ้นจากเดิม 10 -12 % แตกต่างกันตามทำเล และขึ้นกับภาวะเงินเฟ้อในอนาคต ห้องชุด 1 ห้องนอน ขนาด 45-50 ตารางเมตร ยังได้รับความนิยมจากผู้ซื้อในปัจจุบัน แต่มีแนวโน้มที่ผู้ประกอบการจะพัฒนาห้องชุดขนาดเล็กลง แต่คงราคาขายต่อยูนิตสูงใกล้เคียงเดิม อีกประมาณ 1-2 ปี คาดว่ามีจำนวนยูนิตเสนอขายใหม่อีก 23,392 ยูนิต ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่สุขุมวิทรอบนอก รัชดาภิเษก ผู้ประกอบการจะให้ความสนใจกับลูกค้ากลุ่มนักลงทุนมากขึ้น เน้นลูกค้าระดับกลาง – บน เป็นหลัก เพราะได้รับการพิจารณาสินเชื่อจากธนาคารได้ง่ายกว่า หากในอนาคตอัตราเงินเฟ้อยังเพิ่มสูงขึ้น อาจมีส่วนช่วยผลักดันนักลงทุนให้เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นได้ ที่มา : ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่มา : ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

ข่าวธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย+เมธา จันทร์แจ่มจรัสวันนี้

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ความต้องการอสังหาฯ แนวราบยังเติบโตดี ส่งผลต่อยอดขายบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ด้านแนวสูงทำเลย่านรถไฟฟ้ายังรุ่ง

นายเมธา จันทร์แจ่มจรัส ประธานอำนวยการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยรายงานผลวิจัยสรุปภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในครึ่งปีแรก 2551 โดยฝ่ายวิจัยและพัฒนาว่า ล่าสุด บริษัทฯ ได้ทำการวิจัยทั้งในส่วนตลาดแนวราบและแนวสูง โดยตลาดแนวราบนั้นยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปีแรกมีจำนวนยูนิตเสนอขายบ้านเดี่ยวรวม 21,102 ยูนิต จาก 430 โครงการ ซึ่งเป็นยูนิตของโครงการเปิดใหม่ จำนวน 2,136 ยูนิต จาก 38 โครงการ และพื้นที่ทิศเหนือมียูนิตเสนอขายมากที่สุด 7,034 ยูนิตหรือ 35% จากทั้งหมด สำหรับส่วน

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ความต้องการอสังหาฯ แนวราบยังเติบโตดี ส่งผลต่อยอดขายบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนด้านแนวสูงทำเลย่านรถไฟฟ้ายังรุ่ง

นายเมธา จันทร์แจ่มจรัส ประธานอำนวยการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยรายงานผลวิจัยสรุปภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในครึ่งปีแรก 2551 โดยฝ่ายวิจัยและพัฒนาว่า...

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ สรุปผลวิจัยภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2549 และวิเคราะห์ทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2550 ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบัน

บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ขอเชิญสื่อมวลชนร่วมงานแถลงข่าว สรุปผลวิจัยภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2549 และวิเคราะห์ทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์...

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ แถลงข่าว สรุปผลวิจัยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีแรก 2549

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ ขอเชิญร่วมงานแถลงข่าว "สรุปผลวิจัยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีแรก 2549" โดย นายเมธา จันทร์แจ่มจรัส ประธานอำนวยการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด ในวันพุธที่ 2...

ในยุคที่ปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงเป็น... KKP พร้อมเคียงข้างอสังหาริมทรัพย์ไทย เดินหน้าสู่ความยั่งยืน — ในยุคที่ปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงเป็นภัยคุกคามที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ ธุรกิจทุกภาคส่วนต่า...