บิ๊ก GC มั่นใจปีนี้รายได้-กำไรขยายตัวเพิ่มจากปีก่อนได้แน่หลังครึ่งปีแรกทำกำไรพุ่งไปเกือบเท่าปีก่อน พร้อมส่งซิกการจ่ายปันผลครึ่งปีหลังก็อาจจะสูงกว่าปีก่อนตามทิศทางของกำไรแต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับมติคณะกรรมการ พร้อมเดินแผนบุกตลาดต่างประเทศ สร้างฐานการตลาดรองรับการเติบโตในอนาคต ขณะที่ตลาดในประเทศเดินหน้าสรรหาสินค้ามาร์จิ้นสูงมาจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น มั่นใจปีนี้รายได้เข้าเป้า 3.6 พันลบ. โต 8-10% จาก 3.2 พันลบ.ในปีก่อนได้แน่
นายสมชาย คุลีเมฆิน กรรมการผู้จัดการ บมจ.โกลบอล คอนเน็คชั่นส์ (GC) เปิดเผยว่า มั่นใจว่าปีนี้รายได้ปีนี้จะเติบโตตามเป้า 3.6 พันล้านบาท หรือเติบโต 8-10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3.2 พันล้านบาท ในขณะที่กำไรปีนี้จะมากกว่าปีก่อนเช่นเดียวกัน โดยในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัททำกำไรแล้วกว่า 32 ลบ.จากปี 2548 ทั้งปีที่มีกำไร 36.52 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทผลิตสินค้า ที่มีมาร์จิ้นดีมากขึ้น และปีนี้เสียภาษีลดลง เพราะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และนำสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงเข้ามาจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงมั่นใจว่าจะส่งผลให้ในสิ้นปีนี้บริษัทจะมีกำไรสุทธิเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างแน่นอน
'ปัจจุบันธุรกิจปิโตรเคมีเติบโตประมาณ 1.5-2 เท่าของ GDP อยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเศรษฐกิจ โตเราก็ยังเติบโต ซึ่งในปีนี้รายได้เรายังจะโตได้ที่ 8-12% ' เขากล่าวและว่า สำหรับจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2549 คาดว่าจะสูงกว่างวดครึ่งปีแรกที่จ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับกำไรสุทธิที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น
'ในครึ่งปีแรกเราจ่ายปันผลไป 0.10 บาท หรือคิดเป็น ผลตอบแทนที่ 3.8% ส่วนในครึ่งปีหลังถ้าจ่ายในอัตราเดียวกันก็จะเท่ากับ 7.6%ซึ่งถือเป็นอัตราผลตอบแทนที่น่าพอใจ แต่จากกำไรที่เพิ่มขึ้นก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะจ่ายในอัตราที่สูงกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งก็ต้องดูมติของคณะกรรมการประกอบอีกครั้ง'นายสมชายกล่าวและว่า
หลังจากที่ได้ประกาศจ่ายปันผลจากผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก บริษัทก็ได้มอบหมายให้ บล.ทิสโก้ ทำการจัดอันดับหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผล 50 อันดับแรกของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ พบว่า GC เป็นหุ้นที่จ่ายปันผลในอัตราสูงสุดอันดับที่ 26 ในกลุ่ม top 50 'ความจริงเราตั้งเป้าจะจ่ายปันผลสูง ติด 50 อันดับแรกของหุ้นในตลาด ภายใน 2-3 ปี แต่อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้มีหลายบริษัทที่มีผลประกอบการที่ไม่ดีนัก จึงไม่สามารถจ่ายปันผลระหว่างกาลได้ บริษัทจึงขึ้นติดกลุ่ม 50 อันดับแรกได้เร็วกว่าเป้าหมายที่วางไว้มาก ซึ่งก็ถือว่าเป็นไปตามนโยบายของบริษัท ที่ต้องการให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูงสุด'
เขากล่าวอีกว่า ในปี 2549 GC คาดการณ์ว่าจะมีรายได้และกำไรเติบโตมากกว่าปีก่อน เนื่องจากในครึ่งแรกของปี 2549 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้และกำไรเติบโตขึ้นจากปี 2548 ค่อนข้างชัดเจน โดยมีรายได้อยู่ที่ 1.5-1.6 พันล้านบาท ในขณะที่กำไรเติบโตไปในทิศทางเดียวกันอยู่ที่กว่า 32 ล้านบาท หลังจากบริษัทได้ปรับปรุงการทำธุรกิจใหม่ให้มีความรัดกุม และมีความเสี่ยงน้อยที่สุด โดยในเรื่องของดอกเบี้ย บริษัทได้นำเงินที่ได้จากการขายหุ้น ไอพีโอ จำนวน 100 ล้านบาท มารวมกับเงินฝากที่บริษัทมีอยู่ 100 ล้านบาท ทำให้มีเงินสดหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านบาท จึงลดภาระเรื่องดอกเบี้ยลงได้ค่อนข้างมาก
นอกจากนั้นในปีนี้ได้เริ่มปรับเปลี่ยนการสต็อกสินค้าใหม่ ด้วยการปรับลดสต็อกสินค้าให้สั้นลง เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ จึงทำให้บริษัทไม่ได้รับความเสียหายจากสินค้าในสต็อก ประกอบกับได้นำสินค้าใหม่ซึ่งเป็นที่ต้องการของลูกค้าและมีมาร์จิ้นสูงขึ้นเข้ามาจำหน่ายซึ่งคาดว่าจะทำให้ในปีนี้บริษัทจะมีรายได้สูงว่าในปีก่อนไม่น้อยกว่า 10-12% ตามเป้าหมายที่วางไว้
นายสมชาย กล่าวอีกว่า เพื่อให้ธุรกิจขยายตัวต่อเนื่องในปีหน้เาเขาเตรียมจะเดินหน้าขยายธุรกิจออกสู่ต่างประเทศเพิ่มขึ้น หลังจากที่ในปีนี้ได้เริ่มขยายตลาดออกสู่ต่างประเทศบ้างแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับประเทศไทย อาทิ จีน เวียดนาม และออสเตรเลีย เนื่องจากเห็นว่ากลุ่มประเทศดังกล่าวต้องการสินค้าที่มีเทคโนโลยีสูง และบริษัทสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้
โดยตั้งแต้ปีหน้าเป็นต้นไป บริษัทเริ่มขยายตลาดออกไปอย่างชัดเจน ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลเติบโตได้ภายใน 2-3 ปีซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศ จะอยู่ที่ประมาณ 5% ของรายได้รวม จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้ไม่ถึง 1% เนื่องจากเพิ่งเข้าไปดำเนินการได้ไม่นาน
'สินค้าที่เราจัดส่งออกไปขายต่างประเทศ จะเน้นสินค้าเกรดสูง เพราะเห็นโอกาสที่ตลาดยังมีความต้องการมาก เราเข้าไปเป็นรายแรกก็จะสร้างมาร์เก็ตแชร์ได้ก่อน ซึ่งตลาดในส่วนนี้ถือเป็นอนาคตที่ดี ใน 2-3 ปีนี้ก็จะเห็นการเติบโตที่ชัดเจน แต่คงไม่มากนักเมื่อเทียบกับตลาดในประเทศ เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่มาก' นายสมชาย กล่าว
นอกจากนั้น ยังมีเป้าหมายจะรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อทุนให้อยู่ที่ระดับ 1.8-2 เท่า เพื่อรักษาความสามารถในการขยายธุรกิจในอนาคต จากปัจจุบันที่บริษัทมีอัตราหนี้สินตอทุนอยู่ที่ 1.8 เท่า หรือมีหนี้สินเท่ากับ 340 ลบ. แบ่งเป็นหนี้สินระยะสั้น อยู่ที่ 240 ล้านบาท และมีหนี้สินระยะยาวอยู่ที่ 100 ล้านบาท โดยในปีหน้านี้บริษัทเตรียมลดสัดส่วนหนี้สินระยะยาวลง เพื่อลดภาระดอกเบี้ย เนื่องจากหนี้ระยะยาวมีอัตราดอกเบี้ยจ่ายสูงกว่าหนี้ระยะสั้น แต่จะเพิ่มสัดส่วนหนี้ระยะสั้นให้อยู่ที่ 280-300 ลบ.เนื่องจากธุรกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น เงินทุนหมุนเวียนจึงต้องเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงคาดว่าสัดส่วน D/E จะอยู่ในอัตรา1.8-2 เท่า
ทั้งนี้ ปกติธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าปิโตรเคมี อัตราหนี้สินต่อทุนที่อยู่ที่ 2-3 เท่า ถือเป็นอัตราที่ธนาคารยอมรับได้ โดยเฉพาะบริษัทที่มียอดขายและผลประกอบการที่ดี ดังนั้นการที่บริษัทรักษา D/E ให้อยู่ที่ 1.8-2 เท่า ถือว่าเหมาะสมและปลอดภัยต่อการขยายธุรกิจ'
เขากล่าวอีกว่า ยอมรับว่าปัจจุบันบริษัทมีมาร์เก็ตแคปค่อนข้างเล็ก หรืออยู่ที่ 500 ล้านบาทจึงทำให้ที่ผ่านมา บริษัทมักไม่ได้รับความสนใจจากวิเคราะห์หรือนักลงทุนเท่าใดนัก ดังนั้นเพื่อให้ GC ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้น บริษัทจะยังเน้นวางตำแหน่งเป็นบริษัทที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในอัตราสูงเหมือนเดิม
ในขณะเดียวกันก็ต้องการขยายมาร์เก็ตแคปให้เติบโตขึ้น ซึ่งในอนาคตอยากจะเห็นที่ 3-5 พันล้านบาท แต่ก็คงจะทำในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ให้บริษัทเติบโตไปตามวิถีทางของธุรกิจที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อนักลงทุน ส่วนการเพิ่มสถาพคล่องของหุ้นในกระดาน ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GC พร้อมที่จะขายหุ้นออกมา หากนักลงทุนสนใจที่จะเข้ามาซื้อ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของหุ้นในกระดาน
ปัจจุบันมีหุ้นอยู่ในมือผู้ถือหุ้นใหญ่ประมาณ 77.5% ดังนั้นถ้านักลงทุนต้องการและมีคำเสนอซื้อออกมาเราก็พร้อม จะขายออก เพราะถ้าเราถือหุ้นลดลงประมาณ 7-10% ก็ไม่น่าจะมีปัญหา ส่วนในอนาคตก็มีความเป็นไปได้ว่าเราอาจจะจ่ายปันผลในลักษณะของหุ้นปันผลด้วย เพราะไม่ได้ผิดเป้าหมายเรื่องการจ่ายปันผลของบริษัทแต่อย่างใด
รายละเอียดเพิ่มเติมติอต่อ
Nattaphong Chaiklaew (Mix)
Marketing for IR Project
Online Asset Company Limited
www.efinancethai.com
02-5549396