-ตอกย้ำผู้นำการตลาดเชิงรุก แก้วิกฤติความเครียด-
ก.เจริญทอยส์ เบนเข็มเจาะตลาดวัยรุ่น-วัยทำงาน ส่งของเล่นแนวคิดใหม่สู่ตลาด ชูจุดขายแหวกแนวสนุกสนานเพื่อการผ่อนคลาย หลังพบช่องว่างทางการตลาดในกลุ่มนี้มีโอกาสเติบโตอีกมาก ตอกย้ำจุดยืนและบทบาทการเป็นผู้นำเชิงรุกในตลาดของเล่นอย่างต่อเนื่อง คาดยอดขายฉลุยเนื่องจากยังไม่มีของเล่นที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมาก่อน
นายวีระรัตน์ กิจเลิศไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ก.เจริญ ทอยส์ จำกัด หนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจของเล่นระดับคุณภาพของเมืองไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2545 บริษัท ก.เจริญ ทอยส์ จำกัด ถือได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกตลาดของเล่น Interactive อย่างจริงจัง ด้วยการวางตลาดของเล่นอิเล็คทรอนิคส์ ขนาดเล็กกะทัดรัด หน้าตาน่าเอ็นดู โดยเริ่มจากการวางตลาดไมโครเพ็ท สัตว์เลี้ยงอิเล็คทรอนิคส์ (ตุลาคม 2545) ไมโครเบบี้ ลูกกรอกไฮเทค ปิ๊ปปี้ ลูกเจี๊ยบแสนซน (ตุลาคม 2546) และท้ายสุดในตระกูลไมโคร คือ ไมโครแด๊นเซอร์ (มีนาคม 2547) ซึ่งทั้งหมดได้รับการต้อนรับอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นวัยรุ่น และลูกค้าวัยทำงาน ส่งผลให้บริษัทฯ เล็งเห็นโอกาสทางการตลาดว่าลูกค้าในกลุ่มนี้นับเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความต้องการของเล่นที่เหมาะกับวัยของตน แต่ที่ผ่านมายังไม่มีของเล่นใดที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มนี้มาก่อน บริษัทฯจึงได้ตัดสินใจที่จะขยายส่วนตลาดใหม่ไปยังกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ซึ่ง 2 กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ผู้ประกอบการของเด็กเล่นในประเทศส่วนใหญ่มองข้ามไป ในขณะที่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างเช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา คนวัยหนุ่มสาวต่างให้ความสนใจและความนิยมของเล่นที่มีแบบฉบับเฉพาะตัว เพื่อใช้ผ่อนคลายความตึงเครียด สะสมเป็นงานอดิเรก หรือใช้แสดงอัตลักษณ์ของตน ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ชื่นชอบความแปลกใหม่ สนใจกระแสสังคม ตัดสินใจฉับไว และที่สำคัญคือ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ประกอบกับบริษัทฯ มองว่าในอนาคตความสนใจของเด็กต่างมุ่งตรงไปที่เกมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Computer Game, VDO Game และ Hand Held Game อีกทั้งครอบครัวสมัยใหม่ก็มักจะมีลูกเพียงคนเดียว อันเนื่องมาจากสภาพปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม ด้วยเหตุนี้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ตลาดของเด็กเล่นจะมีขนาดเล็กลง นอกจากนี้ เด็กๆ ยุคนี้ยังมีรูปแบบและวิธีการใช้เวลาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสังสรรค์กับเพื่อน การไปเรียนพิเศษเสริมทักษะด้านต่างๆ หรือการใช้เวลาดูโทรทัศน์มากขึ้น ของเล่นจึงไม่ได้เป็นทางเลือกเดียวสำหรับเด็กเช่นในอดีตอีกต่อไป กลยุทธ์ในอันที่จะรุกสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ จึงดูน่าจะมีโอกาสทางการตลาดมากที่สุด
"โดยก่อนหน้านี้ ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2546 ประเทศไทยเพิ่งผ่านวิกฤตโรค SARS ได้ไม่นาน ผู้บริโภคกำลังอยู่ในภาวะตึงเครียด บริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงปัญหานี้ จึงได้นำผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Healing Toys ตัวแรกซึ่งก็คือ NoHoHon ตุ๊กตาของคนเบื่อโลก เข้ามาทำตลาด โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือวัยรุ่นและวัยทำงาน เพื่อตอบสนองความต้องการคลายเครียดจากการเรียน การทำงาน และชีวิตประจำวันของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีผู้ประกอบในธุรกิจของเด็กเล่นรายใดที่วางตำแหน่งทางการตลาด และกำหนดกลุ่มเป้าหมายในลักษณะนี้เลย ซึ่งถือได้ว่าเป็นปรากฎการณ์ใหม่ในตลาดเลยก็ว่าได้ ผลปรากฎว่า ในระยะเวลาเพียง 1 เดือน บริษัทฯ สามารถจำหน่าย NoHoHon ได้ถึงกว่า 2 พันตัว สินค้าจำหน่ายหมดอย่างรวดเร็ว และมีเสียงเรียกร้องจากลูกค้าจำนวนมากให้นำสินค้าเข้ามาอีก ส่งผลให้ในเดือนธันวาคม 2547 ที่จะถึงนี้ บริษัทฯ จึงตัดสินใจที่จะตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้โดยเปิดตัวของเล่นในกลุ่ม Healing Toy หรือของเล่นแนวใหม่เพื่อผ่อนคลายอย่างเป็นทางการเป็นเจ้าแรก ซึ่งของเล่นในกลุ่มนี้จะได้แก่ NoHoHon New Version ตุ๊กตาของคนเบื่อโลก (ที่เบื่อกว่าเดิม!) ตามด้วย FLIP FLAP ต้นไม้คลายทุกข์ ซึ่งมีรูปแบบการเล่นใกล้เคียงกับ NoHoHon โดยจะใช้แสงสว่างเป็นพลังงานเพื่อให้ใบไม้ขยับโยกไปมาเสริมด้วย Micro Kitty เวอร์ชั่นล่าสุดของ Micro Pet และ KIGURUMIX ตุ๊กตาดุ๊กดิ๊ก ที่เต้นเมื่อได้ยินเสียงเพลง ทั้งนี้บริษัทฯ คาดว่าสินค้าในกลุ่ม Healing Toy นี้น่าจะได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี" นายวีระรัตน์ กล่าวสรุป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
วิภาวริศ เกตุปมา หรือ อภิชญา กียาพีระพัฒน์
บริษัท โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น จำกัด
โทร. 02-951-9119,01-890-3568,09-536-7724--จบ--