กรุงเทพฯ--23 ก.ย.--การบินไทย
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวเรื่องการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และของตราสาร หนี้ประเภทหุ้นกู้ ที่ได้รับการประเมินโดยบริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด (TRIS Rating Co., Ltd) โดยมีนายกนก อภิรดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นประธาน พร้อมด้วย นายกวีพันธ์ เรืองผกา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการเงินและการบัญชี และนางอรุณี ภิญญาวัธน์ ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการเงิน นายกนก อภิรดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับแจ้งผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ของบริษัทและของหุ้นกู้ ประเภท ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกันของบริษัทฯ มูลค่า หนึ่งหมื่นล้านบาท ซึ่งได้รับการประเมินโดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ AA- ซึ่งเป็นระดับ Investment Grade บ่งชี้ถึงความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นในเกณฑ์สูงมาก โดยในมุมมองของทริสฯ ความแข็งแกร่งทางเครดิตของการบินไทย เป็นผลมาจาก- ความสามารถในการทำกำไรที่สม่ำเสมอ- การเป็นผู้นำด้านการขนส่งทางอากาศตลาดในประเทศ และความแข็งแกร่งในเส้นทางการบินระหว่างประเทศ- ศักยภาพในการแข่งขัน กับสายการบินต่างชาติ- การเป็นสายการบินแห่งชาติที่ถือหุ้นโดยกระทรวงการคลัง (จำนวน 93%) ซึ่งได้รับการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ รวมทั้งทางด้านการเงิน จากทางภาครัฐ - ความสามารถในการดำเนินธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจ และเหตุการณ์ก่อการร้ายต่าง ๆ มาได้ด้วยดีบริษัทฯ มีกำไรต่อเนื่องตลอดทุกปีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 และมีผลประกอบการที่ดีสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าอุตสาหกรรมการบินจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การ ก่อวินาศกรรมที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 และการปฏิบัติการทางการทหารของสหรัฐฯ ในอิรัก โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS) ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบและเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยสามารถพลิกฟื้นผลการดำเนินงาน ให้กลับมาดีดังเดิมได้ภายในระยะเวลาอันสั้นการขนส่งผู้โดยสารภายในประเทศ ซึ่งบริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาด 86% ทริสฯ เชื่อว่าการบินไทยจะสามารถรักษาส่วนแบ่งการบิน ภายในประเทศส่วนใหญ่ไว้ได้ แม้ว่าภาครัฐบาลดำเนินนโยบายในการเปิดเสรีทางการบิน (Open Sky Policy) ให้สายการบิน สัญชาติไทยทยอยเข้ามาทำการบินในเส้นทางสายหลักและสายรองของบริษัทฯ มาตั้งแต่เดือนกันยายน 2543 ทั้งนี้ เนื่องจากทริสฯ เห็นว่าบริษัทฯ มีสินค้าและบริการที่ดีกว่าคู่แข่ง รวมทั้งมีเครือข่ายการบินครอบคลุมและเชื่อมโยงทั้งภายในและระหว่างประเทศ และมีบริการที่ครบวงจรในทุกเส้นทางบิน การขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศ ซึ่งบริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาด 45% ของการขนส่ง ผู้โดยสารทั้งหมดที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ ซึ่งทริสฯ เชื่อว่าการบินไทยจะสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดเอาไว้ได้ เนื่องจากสิทธิการบิน เหนือน่านฟ้า และตารางเวลาการใช้สนามบินที่มีอยู่ได้รับความคุ้มครองจากข้อตกลงระหว่างรัฐบาล นอกจากนี้อันดับความน่าเชื่อถือ ยังสะท้อนถึงการมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจและการเป็นสายการบินแห่งชาติ ซึ่งได้รับการสนับสนุน เป็นอย่างดีจากรัฐบาลทั้งทางด้านการเงิน และการดำเนินงาน อาทิ การค้ำประกันเงินกู้ การกู้ยืมเงิน และความคุ้มครองทางด้าน การประกันภัยจากสงครามและการ ก่อการร้าย อันมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ก่อวินาศกรรม ณ ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544
สำหรับแผนการขยายและปรับปรุงฝูงบินของบริษัทฯ ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากในอนาคต แต่จะเป็นการเพิ่มขีดความ สามารถในการแข่งขันกับสายการบินต่างชาติได้เป็นอย่างดี เช่น แผนการขยายฝูงบินจำนวน 17 ลำ และการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ ของฝูงบิน ที่มีอยู่ อาทิเช่น คุณภาพของที่นั่งโดยสารและระบบสาระบันเทิง เป็นต้น รวมทั้งการลงทุนในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ได้ดีขี้น เช่น การเพิ่มเที่ยวบิน การบริการเกี่ยวกับ ห้องรับรองผู้โดยสาร การบริการคลังสินค้า และการบริการลานจอด เป็นต้น
อนึ่ง สำหรับระบบการจัดอันดับความน่าเชื่อถือนั้น ทริสฯ ใช้สัญลักษณ์ตัวอักษรแสดงผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ตามความสามารถ ของผู้ออกตราสารหนี้ในการจ่ายดอกเบี้ยและชำระคืนเงินต้น จำนวน 8 อันดับ โดยเริ่มจาก AAA ซึ่งเป็นอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุด จนถึง D ซึ่งเป็นอันดับต่ำสุด แต่ละสัญลักษณ์อาจมีเครื่องหมายบวก (+) หรือ ลบ (-) ต่อท้าย เพื่อจำแนกความแตกต่างของคุณภาพ ของอันดับความน่าเชื่อถือภายในระดับเดียวกัน ปัจจุบันมีบริษัทและรัฐวิสาหกิจจำนวนทั้งสิ้น 46 ราย ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ซึ่งในจำนวนนี้มีอยู่เพียง 6 ราย เท่านั้น ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ AA- หรือในอันดับที่สูงกว่า
สำหรับแผนการระดมทุน บริษัทฯ มีแผนการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้เป็นจำนวนประมาณหนึ่ง หมื่นล้านบาท เป็นหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกันประกอบด้วยหุ้นกู้ 2 ชุด ชุดที่ 1 มีอายุ 5 ปี จำหน่ายให้กับนักลงทุนสถาบัน และชุดที่ 2 มีอายุ 7 ปี จำหน่าย ให้กับทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนบุคคล โดยทั้งสองชุดมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับอันดับ ความน่าเชื่อถือ ของหุ้นกู้ดังกล่าวและสภาวะตลาด ณ ช่วงเวลาที่จำหน่ายหุ้นกู้ ทั้งนี้ บริษัทฯ จะกำหนดให้มีการจองซื้อประมาณปลายเดือน กันยายนถึงต้นเดือนตุลาคมนี้ ทั้งนี้ นักลงทุนและบุคคลที่สนใจหุ้นกู้ของบริษัทฯ สามารถสอบถาม รายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
บริษัท ฯ คาดว่าหุ้นกู้ทั้งสองชุดจะได้รับความสนใจจากทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนบุคคลเป็นอย่างดี เนื่องจากสภาพคล่อง ในระบบที่มีอยู่มาก และภาวะดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำทำให้นักลงทุนมองหาช่องทางการลงทุน ในหุ้นกู้ที่มีความมั่นคงสูง และให้ ผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก--จบ--
-สส-