เกียรตินาคินสรุปผลการดำเนินงาน ปี 45 กำไร 1,406 ล้านบาท

28 Feb 2003

กรุงเทพฯ--28 ก.พ.--เวเบอร์ แชนด์วิค

บริษัทเงินทุน เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) สรุปผลการดำเนินงานประจำปี 2545 ว่า ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีอย่าง ต่อเนื่อง โดยมีผลกำไรมาจากธุรกิจหลักของบริษัทคือ ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อธุรกิจ

สำหรับผลประกอบการของเกียรตินาคิน ในปี 2545 บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิ 1,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2544 ที่มีผลการดำเนินงานเป็นกำไรสุทธิ 1,389 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิที่ยังไม่เกิดจากเงินลงทุนในสิทธิเรียกร้อง ที่บันทึกไว้ในส่วนของผู้ถือหุ้นปรับตัวดีขึ้น 257 ล้านบาท โดยมีผลขาดทุนที่ลดลงจาก 832 ล้านบาท ในปี 2544 เหลือจำนวน 575 ล้านบาท ในปี 2545

นอกจากนี้บริษัทฯมีนโยบายตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญทั่วไปเท่ากับ 5% สำหรับเงินให้สินเชื่อเพื่อ การฟื้นฟูธุรกิจ โดยในปี 2545ตั้งไว้ เป็นจำนวนเงิน 100 ล้านบาท

บริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลเท่ากับ 4,243 ล้านบาท เทียบกับ 3,253 ล้านบาท ในปี 2544 ซึ่งรายได้ที่ เพิ่มขึ้นมาจาก 3 ธุรกิจหลักของบริษัทฯ ที่มีภาวะดีขึ้น โดยรายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจสินเชื่อเพิ่มขึ้น 407 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมา จากการประสบความสำเร็จในการให้สินเชื่อแก่ลูกค้าเพื่อนำไปแก้ไขปัญหาหนี้กับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ (Refinance Loan) ที่มียอดคงค้างเพิ่มขึ้นถึง 3,618 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 302% นอกจากนั้นยังมีสาเหตุจากความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาหนี้ หยุดรับรู้รายได้ (NPL) ทำให้หนี้เสียเหล่านี้ลดลง 131 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนลูกหนี้งดรับรู้รายได้ต่อเงินให้กู้ยืมรวม ลดลง 18 % ในปี 2544 เหลือเพียง 11 % ในปี 2545 ที่ผ่านมา

บริษัทฯ มีรายได้จากการให้เช่าซื้อเพิ่มขึ้น 147 ล้านบาท ผลมาจากปริมาณลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้น 1,232 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 35% จากปี 2544 บริษัทฯมีรายได้ดอกเบี้ยจากเงินลงทุนในสิทธิเรียกร้องเพิ่มขึ้น 490 ล้านบาท ผลมาจากความ คืบหน้าในการรับชำระหนี้คืนในกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ โดยมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในสิทธิเรียกร้องมีมูลค่าคงเหลือ 11,792 ล้านบาท เทียบกับยอดคงเหลือ 15,535 ล้านบาท ในปี 2544 ซึ่งมีปริมาณที่ลดลง 24 %

ในปี 2545 บริษัทฯมีปริมาณเงินกู้ยืมที่สูงขึ้นเล็กน้อยแต่มีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนทางการเงิน ที่ลดลง นอกจากนั้นมีผลมาจากการครบกำหนดของหุ้นกู้มูลค่า 1,400 ล้านบาท และบริษัทได้มีการระดมเงินทุนด้วยการออกหุ้นกู้ จำนวน 3 ครั้ง รวมมูลค่าทั้งหมด 3,500 ล้านบาท มีอายุครบกำหนด 4 ปี, 4.5 ปี และ 5 ปี เพื่อเป็นการบริหารส่วน ต่างของอายุครบกำหนดของสินทรัพย์และหนี้สินป้องกันผลกระทบจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยที่อาจสูงขึ้น

รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจากจำนวน 1,688 ล้านบาทในปี 2544 เป็นจำนวน 2 ล้านบาทในปี 2545 เนื่องจากในปี 2545 มีผลขาดทุนจากการปรับมูลค่าหลักทรัพย์จำนวน 741 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2544 มีผลกำไรจากการปรับมูลค่าหลักทรัพย์ จำนวน 1,046 ล้านบาท เป็นผลจากการรับชำระหนี้จากเงินลงทุนในสิทธิ

เรียกร้องที่ปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งรับรู้เป็นราย ได้ดอกเบี้ยรับเงินลงทุนในสิทธิเรียกร้องเป็นระยะ ๆ สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้ของเงินลงทุนในสิทธิเรียกร้องที่เหลืออยู่ ยังคงดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าจะเป็นไปในอัตราที่ช้าลงบ้าง

ค่าใช้จ่ายดำเนินการโดยทั่วไปของบริษัทฯลดลง 73 ล้านบาทจากปี 2544 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดลงของ ค่าใช้จ่ายด้านกฎหมาย

ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจากจำนวน 8,270 ล้านบาทในปี 2544 เป็นจำนวน 9,903 ล้านบาทในปี 2545 มาจากผล การดำเนินงานหักเงินปันผลจ่ายระหว่างงวดและการใช้สิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญเป็นจำนวน 653 ล้านบาท

ตัวเลขอื่น ๆ ในงบการเงินที่เป็นสาระสำคัญ

ธันวาคม 2544

ธันวาคม 2545

(หน่วย: ล้านบาท)

(หน่วย: ล้านบาท)

เงินให้กู้ยืม

6,515

9,308

ลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ

3,545

4,778 ลูกหนี้หยุดรับรู้รายได้

1,779

1,633 %ลูกหนี้หยุดรับรู้รายได้

18%

11% ส่วนของผู้ถือหุ้น

8,270

9,903 เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง

25.04%

30.32% ขาดทุนสุทธิที่ยังไม่เกิดจากเงิน

ลงทุน

832

575 ในสิทธิเรียกร้อง--จบ--

-ศน-