คณะที่ปรึกษาฯระดมสมองผู้เกี่ยวข้องหาแนวทางที่ดีที่สุดในการถ่ายโอนกิจการขสมก.

กรุงเทพฯ--12 พ.ย.--กทม. คณะที่ปรึกษาการโอนกิจการขสมก.เสนอทาง 4 เลือกให้กทม. พร้อมชี้การโอนเฉพาะรถร้อนโดยตั้งบริษัทขึ้นมาดำเนินการจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด แต่จะจัดบริการเองหรือให้สัมปทานต้องพิจารณาอีกที โดยคำนึงภาระหนี้สินเดิม เส้นทางเดินรถ ต้นทุนและค่าบริการ ซึ่งอาจต้องมีการปรับปรุง รวมทั้งปัญหาการโอนถ่ายพนักงาน คาดต้นปีหน้าจะได้ข้อสรุปแนวทางที่เหมาะสมโดยทุกฝ่ายทั้ง กทม. ขสมก. และประชาชนได้ประโยชน์ร่วมกัน เวลา 9.00 น. เมื่อวานนี้ (11 พ.ย.45) ณ โรงแรมอินทรา รีเจนท์ นายสนั่น โตทอง รองปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดการสัมมนาโครงการศึกษาแนวทางการรับโอนการจัดเดินรถโดยสารประจำทาง ของกรุงเทพมหานคร โดยสำนักการจราจรและขนส่ง กทม. จัดขึ้น เพื่อให้สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบริษัท ทรานส์คอนซัลท์ จำกัด นำเสนอแนวทางที่เป็นไปได้ในการรับโอนรถโดยสารประจำทาง นำเสนอข้อดีข้อเสียของแต่ละแนวทาง นำเสนอรูปแบบการโอนและระยะเวลาที่ใช้โอน ตลอดจนรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากประชาชนและผู้เชี่ยวชาญ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) และผู้ประกอบการรถร่วมบริการ รวม 150 คน เข้าร่วมสัมมนา รองปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า สืบเนื่องจากพ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่การปกครองท้องถิ่นและนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้มีการถ่ายโอนภารกิจที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของท้องถิ่นให้ท้องถิ่นเป็นผู้จัดทำเอง โดยมีมติคณะรัฐมนตรีให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง และกรุงเทพมหานครร่วมพิจารณาการโอนกิจการขสมก.ให้กทม. นั้น กรุงเทพมหานครจึงได้ว่าจ้าง บริษัท ทรานส์คอนซัลท์ จำกัด และสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็น ผู้ศึกษาแนวทางที่เป็นไปได้ในการรับโอนการจัดรถโดยสารประจำทางจากขสมก. เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมและรูปแบบการโอนที่ ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่าย ทั้งขสมก. กทม. และประชาชน คือการบริหารจัดการที่ดี และสามารถให้บริการด้วยระบบขนส่งมวลชนที่มีมาตรฐาน และมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ที่ปรึกษาได้เริ่มทำการศึกษาตั้งแต่ 12 ส.ค.45 เป็นต้นมา และจะใช้เวลาในการศึกษา 8 เดือน ก่อนจะสรุปนำเสนอต่อกทม. ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงความคืบหน้าของการศึกษาว่า ขณะนี้คณะที่ปรึกษาได้ทำการศึกษาทบทวนการดำเนินงานขสมก.และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว กำลังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาเส้นทางเดินรถโดยสารให้สอดคล้องกับระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ที่จะเกิดขึ้น เช่น ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า และรถไฟใต้ดิน ศึกษาและวิเคราะห์รูปแบบการจัดองค์กร การบริการและจัดการของกทม. ทั้งด้านกฎหมาย บุคลากร ระบบบัญชี การเงิน งบประมาณ และแนวทางที่เป็นไปได้ในการรับโอนกิจการ รวมทั้งสำรวจและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้ใช้บริการ ก่อนจะจัดทำแผนการโอนและแผนการดำเนินงาน สำหรับแนวทางที่เป็นไปได้ในการรับโอนกิจการที่คณะที่ปรึกษาศึกษาไว้ มี 4 แนวทาง คือ 1.โอนทั้งหมดทันที 2.โอนเฉพาะรถโดยสารธรรมดา(รถร้อนครีม-แดง) แต่แบ่งระยะเวลาการโอน 3.โอนทั้งหมด(รถปรับอากาศและไม่ปรับอากาศ) แต่แบ่งระยะการโอน และ 4.โอนเฉพาะเส้นทางที่เลือก ซึ่งแต่ละแนวทางมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามคณะที่ปรึกษาเห็นว่าแนวทางที่จะเป็นไปได้มากที่สุด คือ แนวทางที่ 2 เนื่องจากไม่กระทบต่อการดำรงอยู่ของขสมก.และพนักงานขสมก.ซึ่งต้องการเป็นรัฐวิสาหกิจตามเดิม และไม่กระทบต่อปัญหาภาระหนี้ของขสมก. ซึ่งมีหนี้สะสมอยู่กว่า 30,000 ล้านบาทในปัจจุบัน และความเป็นไปได้รองลงมาคือ แนวทางที่ 3 โดยทยอยโอนสิทธิในการเดินรถธรรมดาก่อนจะโอนรถโดยสารปรับอากาศ ส่วนรูปแบบในการจัดตั้งองค์การเพื่อรองรับกิจการที่กทม.จะรับโอนมานั้น คณะที่ปรึกษาได้เสนอไว้ 4 วิธี ได้แก่ 1.คงรูปแบบขสมก.เป็นกิจการของรัฐ และแก้ไขพระราชกฤษฎีกาจากอยู่ภายใต้กระทรวงคมนาคมมาเป็นกทม.แทน 2.อาศัยอำนาจตามมาตรา 89 แห่งพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกทม. พ.ศ. 2528 ดำเนินกิจการในลักษณะการพาณิชย์ของกทม.เช่นเดียวกับสถาน ธนานุบาล และสำนักงานตลาด 3.อาศัยอำนาจตามมาตรา 94 แห่งพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกทม. พ.ศ. 2528 ร่วมกับผู้ถือหุ้น จัดตั้งบริษัท เช่นเดียวกับกรุงเทพธนาคม และ4. อาศัยอำนาจตามมาตรา 95 แห่งพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกทม. พ.ศ. 2528 จัดตั้งสหการขึ้นมารองรับ ทั้งนี้หากกทม.เลือกแนวทางการโอนภารกิจขสมก.มาทั้งหมดทันที จะเหมาะกับรูปแบบของการตั้งสหการขึ้นมาดูแล แต่หากเลือกแนวทางการโอนโดยมีระยะเวลาทั้งโอนบางส่วนและโอนทั้งหมด จะเหมาะสมกับการตั้งบริษัทขึ้นมาบริหาร จัดการ ส่วนบริษัทจะดำเนินการเองหรือให้สัมปทานกับเอกชนเป็นรายละเอียดที่จะต้องพิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตามแนวทางการรับโอนกิจการและรูปแบบการจัดตั้งองค์การขึ้นมารองรับข้างต้นเป็นเพียงข้อเสนอตามผลการศึกษาของคณะที่ปรึกษาเท่านั้น ไม่ได้เป็นข้อสรุปที่กทม.เลือกใช้ในขณะนี้ เนื่องจากจะต้องมีการวิเคราะห์ปัญหาด้านอื่นๆ ด้วย ได้แก่ ปัญหาทางกฎหมายซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการโอนสัมปทานการเดินรถ ที่ขสมก.ให้เอกชนดำเนินการอยู่หลายสาย ปัญหาการโอนทรัพย์สินและหนี้สินซึ่งขณะนี้ยังไม่มีใครรับจะเป็นผู้รับผิดชอบหนี้สิน 30,000 ล้านบาท รวมทั้งระบบการบริหารจัดการองค์กรและงานบุคคล ที่จะต้องโอนถ่าย ตลอดจนระบบสวัสดิการ สิทธิประโยชน์และความก้าวหน้าของบุคลากร ทั้งนี้การพิจารณาจะต้องศึกษาให้ครอบคลุมถึงเส้นทางการเดินรถที่จะรับโอน ต้นทุนและรายได้จากการให้บริการ การปรับปรุงเส้นทางและอัตราค่าโดยสารภายหลังการรับโอน ทั้งนี้ จะมีการสัมภาษณ์และสำรวจความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริการ พนักงานขสมก. พนักงงานกทม. ประชาชนและผู้ใช้บริการ โดยจะมีการสัมมนารับฟังความคิดเห็นอีกครั้งในราวต้นปี 2546--จบ-- -นห-

• ข่าวโรงแรมอินทรา
• ข่าวสนั่น โตทอง
• ข่าวเมื่อวาน
• ข่าวกรุงเทพฯ
• ข่าวกรุงเทพ