"พิทักษ์" สรุปผลการรณรงค์ประหยัดพลังงาน ประสบผลสำเร็จประหยัดได้กว่า 1 หมื่นล้านบาท

13 Feb 2002

กรุงเทพฯ--13 ก.พ.--สพช.

ฯพณฯ พิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี เผยผลการดำเนินงานโครงการรณรงค์เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานของประเทศ ภายใต้โครงการรวมพลังหาร 2 ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ประหยัดแล้วกว่า 1 หมื่นล้านบาท

ฯพณฯ นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เปิดเผยในการแถลงผลการรณรงค์เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานของประเทศ ตามโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (โครงการรวมพลังหาร 2) เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2545 ณ โรงแรมสยามซิตี้ ว่าสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ดำเนินการรณรงค์โครงการรวมพลังหาร 2 ในปี 2544 3 โครงการคือ โครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ 4 เดือน สามารถประหยัดเงินได้ 3,138 ล้านบาท โครงการรวมพลังหยุดรถซดน้ำมัน ที่รณรงค์ให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมขับรถ คาดการณ์ว่าหากประชาชนปฏิบัติกันจริงจังจะประหยัดเงินได้ 7,637 ล้านบาท โครงการโปรโมทขับ 91 เติม 91 สามารถปรับเปลี่ยนให้หันมาเติมออกเทน 91 เพิ่มขึ้นเป็น 57.55% เพิ่มจากต้นปี 2544 มา 3.25% ประหยัดได้ 260 ล้านบาทต่อปี

โครงการประหยัดไฟ กำไร 2 ต่อ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เจ้าของบ้านอยู่อาศัยลดการใช้ไฟฟ้า โดยการสร้างแรงจูงใจด้วยการให้ส่วนลดการใช้ไฟฟ้า โดยหากครัวเรือนสามารถทำการประหยัดหน่วยไฟฟ้าลงได้ตั้งแต่ 10% ของจำนวนไฟฟ้าที่ใช้เฉลี่ยของเดือนมิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคม ของบ้านนั้น ๆ ในปี 2544 จะได้รับ รางวัลเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าอีก 20% ของหน่วยไฟฟ้าที่ประหยัดได้ในเดือนนั้น ซึ่งใบเสร็จค่าไฟฟ้าจะระบุส่วนลดให้โดยอัตโนมัติ ระยะเวลาดำเนินกิจกรรมตั้งแต่เดือนกันยายน 2544 - เดือนสิงหาคม 2545

โดยตั้งเป้าให้ครัวเรือนลดการใช้ไฟฟ้าลงให้ได้ 10% รวมทั้งประเทศ คิดเป็นไฟฟ้าที่จะลดลงได้ถึง 2,000 ล้านหน่วย/ปี เป็นเงินที่จะประหยัดได้ถึง 4,000 ล้านบาท

สำหรับส่วนลดค่าไฟจะให้กับครัวเรือนที่ประหยัดไฟฟ้าได้ตั้งแต่ 10% ขึ้นไป โดยรัฐบาลจะให้ส่วนลดในต่อที่ 2 อีก 20% ของหน่วยที่ประหยัดได้ในเดือนนั้นๆ ซึ่งเริ่มวัดผลและให้ส่วนลดตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2544 ขณะนี้วัดผลออกมา 4 เดือนแล้ว มีครัวเรือนประมาณ 60% หรือประมาณ 7 ล้านครัวเรือน ที่ได้รับส่วนลดค่าไฟตามโครงการไปเรียบร้อยแล้ว รวม 4 เดือนสามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ทั้งหมด 1,010 ล้านหน่วย เป็นจำนวนเงินส่วนลดค่าไฟฟ้าที่รัฐคืนประชาชาชนให้ถึง 623 ล้านบาท หรือคิดเป็นการประหยัดทั้งประชาชนและรัฐในการผลิตไฟฟ้าถึง 3,138 ล้านบาท

โครงการ "รวมพลังหยุดรถซดน้ำมัน" มีวัตถุประสงค์เพื่อปลูกจิตสำนึกในการประหยัดน้ำมันให้กับประชาชนทั่วประเทศ โดยการกระตุ้นให้ประชาชนได้ใช้น้ำมันอย่างรู้คุณค่าและมีประสิทธิภาพผ่านการประชาสัมพันธ์ เพื่อหวังผลในการเปลี่ยนพฤติกรรม ดังต่อไปนี้ 1. พฤติกรรมก่อนขับ โดยการวางแผนก่อนการเดินทาง ถ้ารถยนต์ 5 ล้านคันขับหลงทาง 10 นาที เฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้งใน 1 ปี จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 30 ล้านลิตรต่อปี คิดเป็นเงินประมาณ 450 ล้านบาท

2. พฤติกรรมขณะขับ โดยการเลิกเบิ้ล เลิกบิด และลดความเร็ว ถ้าลดความเร็วจาก 120 กม./ชม. เป็น 90 กม./ชม. จะช่วยลดการใช้น้ำมันลงร้อยละ 25 คิดเป็นเงินประมาณ 7,100 ล้านบาทต่อปี และ 3. พฤติกรรมหลังขับ โดยการเติมลมยางไม่ขาดไม่เกิน ถ้าร้อยละ 30 ของรถแต่ละประเภทเติมลมยางให้ตรงกับมาตรฐานของบริษัทผู้ผลิตรถ โดยตรวจเช็คสม่ำเสมอทุกสัปดาห์ จะประหยัดน้ำมันได้ถึง 5.8 ล้านลิตรต่อปี คิดเป็นเงิน ประมาณ 87 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าด้วยวิธีง่ายๆ หากประชาชนผู้ใช้รถทุกคนสามารถปฏิบัติได้จริง เพียง 3 วิธี คาดการณ์ว่าจะสามารถช่วยชาติประหยัดเงินตราได้ถึง 7,637 ล้านบาท

ทั้งนี้ สพช. มุ่งหวังอย่างยิ่งที่จะสร้างกระแสความตื่นตัวของสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปที่มีต่อโครงการฯ ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างจิตสำนึกและทัศนคติที่ดี เพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในอนาคตอีกด้วย รวมทั้งยังจะทำให้ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงความจำเป็นในการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำมันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สำนึกการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าที่จะช่วยให้ประเทศลดภาวะนำเข้าน้ำมันที่มีมูลค่าต่อปีสูงสุดในบรรดาสินค้านำเข้าทั้งหมด ประมาณ 3 แสนล้านบาท/ปี

โครงการ "ขับ 91 เติม 91" ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2543 อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้ยังมีผู้ใช้รถยนต์ และผู้ใช้รถจักรยานยนต์บางส่วนที่ยังเติมน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ในรถที่ควรเติมน้ำมันเบนซินออกเทน 91 อยู่ ดังนั้น สพช. จึงเห็นควรที่จะดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นและจูงใจให้กลุ่มเป้าหมายที่มีรถยนต์หรือจักรยานยนต์ที่สามารถเติมน้ำมันที่มีค่าออกเทน 91 ได้ แต่ยังไม่เติม ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาเติม 91 โดยการสร้างความเชื่อมั่นว่าการใช้น้ำมันที่มีค่าออกเทนเหมาะสมกับเครื่องยนต์นั้น ไม่ทำให้ลดทอนประสิทธิภาพของเครื่องยนต์หรือเกิดผลเสียแต่อย่างใด

ทั้งนี้ โดยหลักการและเหตุผล เชื่อว่าการทดสอบความรู้สึกถึงความแตกต่างในการขับรถที่เติม 91 เปรียบเทียบกับ 95 ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น เป็นข้อยืนยันที่หนักแน่นพอที่จะหักล้าง ทัศนคติและความเชื่อผิดๆ ที่กลุ่มเป้าหมาย มีต่อน้ำมันออกเทน 91 และ 95 ได้ และยังเป็นประเด็นใหม่ที่สามารถสื่อสาร โดยการพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ด้วยการหันมาเติมน้ำมันออกเทน 91 แทน

จะเห็นได้ว่าหลังจากการรณณรงค์มีผู้เปลี่ยนการใช้น้ำมันจากเบนซินออกเทน 95 เป็น 91 มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สัดส่วนการใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 เพิ่มมากขึ้นจากร้อยละ 54.30 ในต้นปี 2544 เป็น 57.55 ในปัจจุบัน คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 260 ล้านบาทต่อปี

"ในฐานะรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งให้ความสำคัญกับนโยบายการประหยัดพลังงานของชาติ ขอให้กำลังใจและจะให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องแก่หน่วยงานราชการ เอกชน สื่อมวลชนรวมทั้งประชาชนในการมีส่วนร่วมในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด และส่งผลดีโดยตรงต่อประชาชนในด้านการลดค่าใช้จ่ายอย่างชัดเจน รวมถึงส่งผลดีในการมีส่วนช่วยเศรษฐกิจของชาติอย่างยั่งยืนต่อไปอีกด้วย" นายพิทักษ์ กล่าวสรุป

ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 โทรศัพท์ 0 2612-1555 ต่อ 201-5 โทรสาร 0 2612-1368

121/1-2 ถ.เพชรบุรี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 www.nepo.go.th-- จบ--

-อน-