กรุงเทพ--29 ธ.ค.--ปตท.
นายพละ สุขเวช ผู้ว่าการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.)แถลงในโอกาสครบรอบ การสถาปนา 20 ปี ของ ปตท. ในวันที่ 29 ธันวาคมศกนี้ ว่า ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานที่ผ่านมา ปตท. ได้พัฒนาความรู้ของบุคคลไทยให้มีความสามารถในการจัดการธุรกิจปิโตรเลียมอย่างมีประสิทธิภาพ และครบวงจร ซึ่งมีความสำคัญมากต่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศอย่างมาก ทำให้จนถึงปัจจุบัน ปตท.สามารถพัฒนาธุรกิจปิโตรเลียมจนถึงขั้นแข่งขันกับธุรกิจเอกชนต่างชาติได้ และมีทรัพย์สินมูลค่ารวมกว่า 150,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากแรกก่อตั้งในปี 2522 ซึ่งมีอยู่เพียง 200 ล้านบาท หรือเท่ากับเติบโตกว่า 750 เท่า และมีรายได้นำมาขยายการลงทุนและการปรับปรุงการดำเนินงาน ในระดับ 220,000 ล้านบาท รวมทั้งยังสามารถนำรายได้ส่งรัฐอย่างต่อเนื่องในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา รวมเป็นเงินถึงกว่า 26,400 ล้านบาท
การพัฒนาธุรกิจของ ปตท. ดำเนินการบนนโยบายหลัก ที่เน้นการเป็นผู้นำด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ เพื่อสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอดอาทิ น้ำมันเบนซินได้สารตะกั่ว น้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำ ทำให้ธุรกิจน้ำมัน ทำให้ธุรกิจน้ำมันของ ปตท.ที่เกือบจะเป็นศูนย์ เมื่อเริ่มก่อตั้งองค์กร สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ของประเทศตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีปริมาณจำหน่ายในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา (ไม่รวมน้ำมันเตาที่จำหน่ายให้กับ กฟผ.) ประมาณ 7,387 ล้านลิตร ครองส่วนแบ่งการตลาด 27% รวมทั้ง ปตท. ยังมีสถานีบริการจำนวนมากที่สุด คือ 1,539 แห่งทั่วประเทศ
สำหรับธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสะอาดนั้น ปตท. ได้พยายามส่งเสริมเพื่อใช้ทดแทนการนำเข้าเชื้อเพลิง โดยก่อสร้างระบบท่อส่งก๊าซฯ สายประธานเส้นแรกแล้วเสร็จเมื่อปี 2524 เพื่อนำก๊าซฯ จากแหล่งในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ จนถึงปัจจุบันในระดับ 1,555 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือ เท่ากับ 22% ของการใช้พลังงานทั้งประเทศ โดยประมาณ 80% เป็นการใช้เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และที่สำคัญ ปตท. ยังมุ่งพัฒนาการใช้ก๊าซฯ ให้ได้ประโยชน์สูงสุด นอกเหนือจากการใช้เป็นเชื้อเพลิง ด้วยการเป็นแกนนำ และร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี จนสามารถผลิตและส่งออกเม็ดพลาสติกไปในตลาดโลกได้ นับเป็นการเพิ่มมูลค่าทรัพยากรของประเทศอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ธุรกิจต่างประเทศที่ ปตท.เริ่มดำเนินการเมื่อ 5 ปีก่อน เพื่อแสวงหาลู่ทางในการดำเนินธุรกิจให้กว้างขวางยิ่งขึ้น สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่เข้าสู่ยุคธุรกิจไร้พรหมแดน ปัจจุบัน ปตท. สามารถดำเนินธุรกิจปิโตรเลียมทั้งภายใต้เครื่องหมายการค้าของ ปตท.เอง และร่วมทุนกับบริษัทอื่นใน 7 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม จีน ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย โดยได้เน้นฟิลิปปินส์เป็นหลัก เนื่องจากมีศักยภาพในการฟื้นตัวเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค
สุดท้าย ผู้ว่าการ ปตท. เปิดเผยว่า ในปี 2541 นี้ แม้ ปตท. ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติลดลง แต่คาดว่ายังคงมีรายได้รวมประมาณ 224,000 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อยโดยจะมีกำไรสุทธิก่อนหักความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 6,200 ล้านบาท ซึ่ง ปตท. จะนำไปใช้หนี้เงินกู้ และเป็นเงินทุนเพื่อใช้ปรับปรุงและขยายงานต่อไป โดยในปีหน้ามีแผนลงทุนในทุกธุรกิจ รวมประมาณ 35,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่หรือประมาณ 19,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนในกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตและก๊าซธรรมชาติและสำหรับทิศทางดำเนินธุรกิจในระยะยาว ปตท.จะยังคงเน้นธุรกิจเพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นจะเร่งแปรรูปองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ ปตท. ยังคงเป็นองค์กรที่ยังคงประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์--จบ--