ASIANET: แบงก์ออฟมอนทรีอัลจับมือรอยัลแบงก์ออฟแคนาดาขึ้นทำเนียบแบงก์ยักษ์

26 Jan 1998

โตรอนโต้--26 ม.ค.--ซีเอ็นดับบลิว-พีอาร์เอ็น-เอเชียเน็ทพีอาร์เอ็น


เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาบอร์ดผู้อำนวยการธนาคารแบงก์ ออฟ มอนทรีอัล และธนาคารรอยัล แบงก์ ออฟ แคนาดา ได้ประกาศข้อตกลงฉบับหนึ่งโดยจะขึ้นอยู่กับการอนุมัติด้านกฎระเบียบและการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นในการผนวกกิจการกันเป็นธนาคารแห่งใหม่ ซึ่งธนาคารแต่ละแห่งจะเป็นหุ้นส่วนที่ถือหุ้นในจำนวนเท่าๆกัน

นายจอห์น อี เคลกฮอร์น ประธานและซีอีโอของธนาคารรอยัล แบงก์ ออฟ แคนาดา ได้กล่าวว่า "การผนวกกิจการกันในครั้งนี้จะทำให้เกิดธนาคารในแคนาดาที่มีความสามารถในการแข่งขันในระดับระหว่างประเทศ ซึ่งมีฐานลูกค้าแข็งแกร่งในอเมริกาเหนือที่จะทำให้เราสามารถเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพให้กับชาวแคนาดาอย่างคุ้มค่า และเมื่อรวมกันแล้ว เราจะมีทรัพยากรทางการเงิน, เทคโนโลยี และทักษะในการช่วยให้แคนาดายังคงเป็นผู้นำระดับโลกในด้านบริการการเงิน อย่างเช่นที่บริษัทในแคนาดารายอื่นๆ อาทิ นอร์เทล, อัลแคน และบอมบาร์เดียร์ เป็นผู้นำในสายธุรกิจของตน"

ด้านนายแมทธิว ดับบลิว บาร์เร็ทท์ ประธานและซีอีโอของธนาคารแบงก์ ออฟ มอนทรีอัล ได้กล่าวว่า "เราได้เติบโตในธุรกิจที่แข็งแกร่งและรุ่งเรืองที่เป็นสัญลักษณ์ของเสถียรภาพของแคนาดาและความเชื่อถือได้มากว่า 1 ศตวรรษแล้วโดยได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าและเจ้าหน้าที่ของเรา อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถรู้สึกยินดี ณ จุดนี้ได้ เนื่องจากความสำเร็จในอดีตและปัจจุบันไม่ได้เป็นสิ่งที่รับประกันถึงความเป็นผู้นำในอนาคต โดยเรารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณลูกค้าและพนักงานของเราที่ได้ให้การสนับสนุนเราอย่างมากซึ่งเป็นความพยายามอย่างดีที่สุดของเราในการทำให้แรงสนับสนุนนั้นมีความแข็งแกร่งต่อไปในอนาคต

พร้อมกันนี้ เราสามารถเติบโตจากการเป็นนักลงทุนชาวแคนาดาที่แข็งแกร่งในขณะนี้ไปเป็นผู้มีส่วนร่วมที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมบริการการเงินโลกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเราจะสามารถเสนอทางเลือกที่สามารถแข่งขันกับรายอื่นๆภายในประเทศได้ ให้กับลูกค้าของเรา และจะสามารถเสนองานที่ให้ผลตอบแทนดีต่อพนักงานของเรา"

สำหรับลูกค้าแล้ว ธนาคารแห่งใหม่นี้จะยังคงให้บริการโดยตรงในชุมชนที่ในปัจจุบันธนาคารทั้ง 2 แห่ง เปิดให้บริการอยู่ ขณะที่จะมีการลงทุนมากกว่า 7 พันล้านดอลล่าร์ในอีก 5 ปีข้างหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นนำสำหรับอนาคต ซึ่งจากการที่มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น และมีระดับเทคโนโลยีที่ดีขึ้น ธนาคารแห่งใหม่นี้จะสามารถให้คำปรึกษา, ตัวเลือก และบริการได้ดีขึ้นโดยมีค่าใช้จ่ายต่ำลง

สำหรับพนักงานนั้น ธนาคารแห่งใหม่นี้จะเสนองานที่ให้ผลตอบแทนพนักงานอย่างดี และเป็นการพัฒนาส่วนบุคคลมากขึ้น โดยมีจุดมุ่งมั่นที่จะลงทุนมากกว่า 750 ล้านดอลล่าร์ในการฝึกอบรมในช่วง 5 ปีข้างหน้า และไม่คาดว่าจะมีการลดการจ้างงานมากนักจากการผนวกกิจการ ซึ่งรายได้อย่างต่อเนื่องที่ธนาคารทั้ง 2 แห่งในขณะที่พนักงานได้เกษียณอายุออกไปหรือลาออกโดยสมัครใจ รวมกับแผนการบริหารพนักงานชั้นนำของเรา จะทำให้เรามีความยืดหยุ่นที่เราต้องการในการขยายธรุกจิและสร้างงานใหม่ๆในอนาคต

ส่วนผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่จะเป็นชาวแคนาดาที่ภาวะการปลดเกษียณนั้นมีความเกี่ยวเนื่องกับความสำเร็จของธนาคารทั้ง 2 ผ่านทางการถือหุ้น โดยธนาคารแห่งใหม่นี้จะให้รายได้ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง และสำหรับชุมชนนั้น ธนาคารแห่งใหม่นี้จะให้การสนับสนุนอย่างเป็นมิตรไมตรีอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการลงทุนเป็นเงิน 250 ล้านดอลล่าร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า รวมทั้งมีความมุ่งมั่นในการเพิ่มเงินสมทบทั้งหมด เมื่อรายได้ของทางบริษัทเพิ่มมากขึ้น

การผนวกกิจการกันครั้งนี้เป็นแรงตอบสนองในแคนาดาต่อระดับการแข่งขันทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในตลาดบริการการเงิน ที่กำลังพัฒนาไปในอัตราที่รวดเร็ว โดยความสำเร็จเมื่อไม่นานมานี้ของแคนาดาในการปรับปรุงสถานการณ์ด้านการคลัง, ผลการดำเนินการค้า และปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ รวมกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่ง และเงินทุน ได้ทำให้แคนาดาเป็นตลาดที่น่าดึงดูดใจมากขึ้น ซึ่งคู่แข่งระหว่างประเทศรายใหม่ได้เข้ามาและยังคงเข้ามาในตลาดแคนาดา โดยได้ผนึกกำลังกับยักษ์ใหญ่ระดับโลก อาทิ ธนาคารฮ่องกง แบงก์ และธนาคารซิตี้แบงก์ ที่ได้มีฐานธุรกิจที่สำคัญในแคนาดาอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น สหรัฐและคู่แข่งต่างชาติ อาทิ บริษัทเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค, เอ็มบีเอ็นเอ คอร์ป, แคปิตอล วัน ไฟแนนเชี่ยล คอร์ป, ฟิเดลลิตี้, ไอเอ็นจี, จีอี แคปิตอล คอร์ป และอื่นๆ ได้เข้ามาในตลาดภายในประเทศเมื่อไม่นานมานี้

นายเคลกฮอร์นได้กล่าวว่า "บรรดายักษ์ใหญ่ในด้านบริการการเงินระหว่างประเทศเหล่านี้ มีแนวโน้มที่จะส่งผลบีบคั้นผลกำไรของธนาคารแคนาดาขนาดเล็กกว่าในตลาดระหว่างประเทศ และมีความได้เปรียบในการทำธุรกิจในแคนาดาด้วยการใช้ขนาดธุรกิจและการลงทุนที่มีปริมาณมากกว่าไปพัฒนาในด้านเทคโนโลยี"

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาในสหรัฐนั้น ได้มีการควบกิจการในสินทรัพย์ธนาคารและสินทรัพย์ด้านการเงินออมคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านดอลล่าร์ หรือ 1 ใน 5 ของสินทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งก็ได้ทำให้คู่แข่งในอเมริกาเหนือมีความแข็งแกร่งขึ้นและดำเนินธุรกิจได้คุ้มค่าใช้จ่ายมากขึ้น โดยการรวมตัวเช่นเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นและกำลังดำเนินต่อไปในระดับโลกในประเทศต่างๆ อาทิ สวิตเซอร์แลนด์, เนเธอร์แลนด์ส, เยอรมนี และญี่ปุ่น

ส่วนรัฐบาลแคนาดานั้นได้ตระหนักและส่งเสริมการดำเนินการไปสู่การมีตลาดการธนาคารระดับโลกเพียงแห่งเดียวด้วยการเปิดเสรีข้อกำหนดในการเข้าร่วมของบริษัทต่างชาติ และด้วยการลงนามในข้อตกลงดับบลิวทีโอในด้านการบริการการเงินเมื่อไม่นานมานี้ โดยนายบาร์เร็ตต์ได้กล่าวว่า "ในขณะที่สถาบันการเงินต่างชาติแห่งใหม่และที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ได้ทำประโยชน์ให้กับตลาดอเมริกาเหนือจากความยิ่งใหญ่ของบริษัทและเทคโนโลยีนั้น เราก็ต้องการที่จะแน่ใจว่า แคนาดาจะยังคงเป็นตัวเลือกที่จะสามารถแข่งขันกับแหล่งที่ดีที่สุดในโลกในด้านราคา, บริการ และความคิดริเริ่ม ซึ่งจากการมีสำนักงานใหญ่ของบริษัทระดับโลกในแคนาดานั้น เราจะสามารถสร้างโอกาสสำหรับการจ้างงานในธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางหลายพันแห่งที่จัดหาสินค้าและบริการให้เรา"

การผนวกกิจการกันในครั้งนี้จะช่วยให้แคนาดาสามารถคงความเป็นอุตสาหกรรมบริการการเงินที่มีประสิทธิภาพสูงและสามารถแข่งขันกับทั่วโลกได้ ซึ่งจะเหมาะสมกับการเป็นประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ โดยลูกค้ารายย่อยที่ธนาคารแห่งใหม่นี้จะสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์การเงินที่กว้างขึ้นจากการมีช่องทางการกระจายหลากหลายที่รวมถึงการมีธนาคารที่มีสาขาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง และมีเครือข่ายการธนาคารโดยตรงในอเมริกาเหนือ โดยมีค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมที่ต่ำที่สุดในโลก พร้อมกันนี้ ธนาคารแห่งใหม่ก็จะมีแหล่งเงินทุนที่จะดำเนินการเป็นธนาคารผู้นำสำหรับบริษัทใดๆ และจะสามารถช่วยบริษัทต่างๆของแคนาดาในการเพิ่มการส่งออกในตลาดอื่นๆทั่วโลก ซึ่งชาวแคนาดาจะสามารถไว้วางใจในหุ้นส่วนทางการเงินที่แข็งแกร่งในแคนาดาและทั่วโลก

นายเคลกฮอร์นได้กล่าวว่า "ธนาคารแห่งใหม่นี้จะนำมาซึ่งธรรมเนียมการปฏิบัติที่น่าภาคภูมิใจร่วมกันในด้านการธนาคารในชุมชน, ความแข็งแกร่งด้านการเงิน และความลึกของความสามารถในธุรกิจหลายสาขา โดยเราจะสร้างธนาคารในอเมริกาเหนือแห่งใหม่ที่มีความแข็งแกร่งอย่างมากในด้านการธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อย, การกู้ยืมสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก,เงินทุนสำหรับการลงทุน, การบริหารทรัพย์สิน, การธนาคารสำหรับภาคธุรกิจบริษัทและวาณิชธนกิจ และการพาณิชย์ทางอิเล็คทรอนิค ซึ่งลูกค้าของเราจะพอใจกับมาตรฐานความสะดวก, คุณภาพของบริการ และมูลค่า"

นอกจากนี้ ธนาคารแห่งใหม่จะช่วยสร้างความมั่นใจว่า ชาวแคนาดาจะยังคงมีส่วนได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่มาจากการมีศูนย์การเงินระหว่างประเทศขนาดใหญ่ที่มีสำนักงานใหญ่, ฝ่ายการวิจัยและพัฒนา และงานบริการในแคนาดา สำหรับธนาคารของสวิตเซอร์แลนด์และเนเธอร์แลนด์นั้น ก็ได้ดำเนินการครั้งใหญ่เพื่อให้แน่ใจว่า อุตสาหกรรมการธนาคารของตนจะยังคงเป็นสินทรัพย์ด้านกลยุทธ์ในประเทศของตน

นายบาร์เร็ทท์ได้กล่าวว่า "ในประเทศสำคัญๆที่พัฒนาแล้วทุกประเทศ รัฐบาลจะทำการส่งเสริมธนาคารของตนผ่านทางนโยบายของรัฐในการสร้างความแข็งแกร่ง และทำให้ธนาคารต่างๆมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นในระดับระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศของตน สำหรับในสหรัฐนั้น การดำเนินการดังกล่าวได้ทำให้มีการรวมตัวระหว่างสถาบันการธนาคารอย่างมาก และได้มีการตั้งสถาบันการเงินซึ่งสามารถแข่งขันกับทั่วโลกได้มากขึ้นในแถบชายแดนของเรา และพร้อมด้วยจุดมุ่งหมายที่จะขยายธุรกิจของตนในแคนาดา"

ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงนี้ ผู้ถือหุ้นของธนาคารรอยัล แบงก์ ออฟ แคนาดา จะได้รับหุ้นสามัญ 1 หุ้นของธนาคารใหม่สำหรับหุ้นสามัญแต่ละหุ้นที่ถือไว้ ส่วนผู้ถือหุ้นของธนาคารแบงก์ ออฟ มอนทรีอัล จะได้รับหุ้นสามัญ 0.97 หุ้นของธนาคารใหม่สำหรับหุ้นสามัญแต่ละหุ้นที่ถือไว้ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้ถือหุ้นของธนาคารแบงก์ ออฟ มอนทรีอัล มีหุ้นสามัญที่ออกจำหน่ายแล้ว 45.1 % และผู้ถือหุ้นธนาคารรอยัล แบงก์ ออฟ แคนาดา จะถือหุ้นจำนวน 54.9 %

ธนาคารแห่งใหม่นี้จะมีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ระดับ 3.8 หมื่นล้านดอลล่าร์ โดยที่ปรึกษาด้านการลงทุนจะได้แก่บริษัทเนสบิตต์ เบิร์นส์ และบริษัทโกลด์แมน ซาคส์สำหรับธนาคารแบงก์ ออฟ มอนทรีอัล และบล.อาร์บีซี โดมิเนียน ซีเคียวริตี้ส์ และเครดิต สวิส เฟิร์สต์ บอสตันสำหรับธนาคารรอยัล แบงก์ ออฟ แคนาดา และการทำธุรกรรมนี้ ซึ่งเป็นการผนวกกิจการโดยมีการถือหุ้นในส่วนที่เท่าๆกัน จะนำมาซึ่งผลประโยชน์ร่วมกัน

คณะกรรมการบอร์ดชุดใหม่จะได้รับการจัดตั้งขึ้นในสัดส่วนที่เท่ากันจากคณะกรรมการบอร์ดของทั้ง 2 ธนาคาร โดยนายเคล็กฮอร์นจะดำรงตำแหน่งประธานร่วมของคณะกรรมการบอร์ดของธนาคารใหม่ และดำรงตำแหน่งซีอีโอของธนาคารใหม่ด้วย ในขณะที่นายบาร์เร็ตต์จะดำรงตำแหน่งประธานร่วมของคณะกรรมการบอร์ดของธนาคารใหม่, ประธานคณะกรรมการบริหารของบอร์ดและจะมีความรับผิดชอบพิเศษในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรวมกิจการและการวางแผนกลยุทธ์ โดยคณะกรรมการบริหารระดับสูงของธนาคารแห่งใหม่จะประกอบด้วยกรรมการ 18 คน ซึ่งรวมนายเคล็กฮอร์นและนายบาร์เร็ตต์ โดยจะมีสัดส่วนกรรมการเท่าๆกันจากทั้ง 2 ธนาคาร

การผนวกกิจการดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติตามกฎหมายการธนาคาร และกฎหมายการแข่งขันในแคนาดา รวมทั้งการอนุมัติหลายๆประเภทจากแคนาดา, สหรัฐ และประเทศต่างๆ โดยธนาคารแห่งใหม่นี้จะจัดอยู่ในอันดับ 1 ใน 10 ธนาคารชั้นนำในอเมริกาเหนือ และ 1 ใน 25 ธนาคารชั้นนำในโลกเมื่อพิจารณาจากทุนจดทะเบียน และณ ขณะสิ้นปีงบการเงิน 1997 ธนาคารแห่งใหม่นี้จะทำรายได้คิดเป็น 41 % ของรายได้ทั้งหมดจากนอกแคนาดา จากสาขาและสำนักงานที่มีอยู่มากกว่า 300 แห่งในกว่า 35 ประเทศ

ทั้งนี้ ธนาคารแบงก์ ออฟ มอนทรีอัล เป็นองค์กรบริการการเงินที่มีความหลากหลายอย่างมากที่รวมถึงบริษัทเนสบิตต์ เบิร์นส์ และธนาคารแฮร์ริส แบงก์ในชิคาโก้ โดยธนาคารแบงก์ ออฟ มอนทรีอัล มีหุ้นอยู่ในและเป็นพันธมิตรกับบริษัทกรุ๊ปโป ไฟแนนเซียโร แบงโคเมอร์ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชั้นนำของเม็กซิโก โดยทางธนาคารและพนักงานของทางธนาคาร 34,000 คน ได้ให้บริการแก่ลูกค้า 7 ล้านคนในพื้นที่ต่างๆ 1,250 แห่ง

ส่วนธนาคารรอยัล แบงก์ ออฟ แคนาดานั้น เป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุดของประเทศในด้านการธนาคารเพื่อลูกค้ารายบุคคล และลูกค้าองค์กรธุรกิจ, การธนาคารเพื่อภาคธุรกิจบริษัทและวาณิชธนกิจ และการบริหารสินทรัพย์ โดยกลุ่มบริษัทรอยัล แบงก์ ไฟแนนเชี่ยล กรุ๊ป ได้รวมถึง รอยัล ทรัสต์, บล.อาร์บีซี โดมิเนียน ซีเคียวริตี้ส์, อาร์บีซี อินชัวรันซ์ และรอยัล แบงก์ แอ็คชั่น ไดเร็ค ซึ่งทางธนาคารรอยัล แบงก์ ออฟ แคนาดานั้น มีพนักงาน 58,000 คน ที่ให้บริการลูกค้า 10 ล้านคน ผ่านทางสาขาและสำนักงาน 1,600 แห่งใน 35 ประเทศ --จบ--


--บิสนิวส์แปลและเรียบเรียง-สจ,กช/กก--