กทม. เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการ จัดการศึกษาพิเศษ-พัฒนาทักษะอาชีพ

28 Feb 2025

นางสาวกาญจนา ภูพิพัฒน์ผล รองผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสังคม รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสังคม (สพส.) กล่าวถึงความคืบหน้าและผลสำเร็จของนโยบายส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการว่า กทม. มีนโยบายส่งเสริมให้คนพิการมีงานทำและพัฒนาทักษะอาชีพโดยไม่จำกัดประเภทความพิการ ตามมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ปัจจุบันมีการจ้างงานคนพิการ 398 คน ในตำแหน่งข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ ข้าราชการครู กทม. ลูกจ้างประจำ และอาสาสมัครคนพิการ นอกจากนี้ กทม. ยังได้ริเริ่มโครงการ Live Chat Agent ให้คนพิการปฏิบัติงานให้บริการประชาชนผ่านทางสื่อออนไลน์ของสำนักงานเขต เช่น Facebook และ Line โดยเฉพาะคนพิการทางการเคลื่อนไหวและการมองเห็น รวมทั้งจัดการฝึกอบรมในโรงเรียนฝึกอาชีพ กทม. 10 แห่ง ในหลักสูตรที่เหมาะสมกับคนพิการประเภท เช่น บาริสต้า ภาษาต่างประเทศ คอมพิวเตอร์ และจัดอบรมพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกับมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมและภาคีเครือข่ายอื่น ๆ

กทม. เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการ จัดการศึกษาพิเศษ-พัฒนาทักษะอาชีพ

นอกจากนี้ กทม. ยังให้ความสำคัญด้านการดูแลสวัสดิการพื้นฐานของคนพิการ โดยมีการจ่ายเบี้ยความพิการ จำนวน 103,463 คน เป็นเงิน 84,776,800.-บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 11 ก.พ. 68) และพัฒนาระบบฐานข้อมูลคนพิการผ่าน LINE Official Account "Bangkok For All" เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลสิทธิประโยชน์ การจองคิวโรงพยาบาล และการสมัครงานกับหน่วยงานของ กทม. อีกทั้งคนพิการสามารถต่ออายุบัตรประจำตัวคนพิการที่หมดอายุ เพื่อให้เข้าถึงสิทธิการรับเบี้ยความพิการและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ได้ที่โรงพยาบาลในสังกัด กทม. ทั้ง 10 แห่ง วชิรพยาบาล และศูนย์บริการคนพิการ 5 แห่ง ได้แก่ ลาดกระบัง บ้านราชวิถี สายไหม มีนบุรี และอ้อมน้อย เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง รวมทั้งมีบริการรถรับส่งผู้สูงอายุและคนพิการ สำหรับเดินทางไปโรงพยาบาลและติดต่อราชการ ขณะเดียวกัน กทม. มีแผนการปรับปรุงพื้นที่ให้เป็น "Universal Design" เพื่อให้คนพิการสามารถเดินทางและใช้บริการต่าง ๆ ได้สะดวกขึ้น โดยเริ่มต้นจากโซนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-พญาไท-ราชเทวี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีคนพิการใช้บริการจำนวนมาก ตามนโยบายของกรุงเทพมหานครที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้เข้าถึงโอกาสทางอาชีพ การจ้างงาน สวัสดิการขั้นพื้นฐาน และการเดินทางที่สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยความร่วมมือจากภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน

นางสาวพิศมัย เรืองศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา (สนศ.) กทม. กล่าวว่า ในปีการศึกษา 2567 โรงเรียนสังกัด กทม. ได้จัดการศึกษาพิเศษ (เรียนร่วม) 161 โรงเรียน และมีครูการศึกษาพิเศษครบทั้ง 437 โรงเรียน เพื่อรองรับและดูแลนักเรียนที่มีความบกพร่อง หรือมีความต้องการพิเศษ รวมทั้งสิ้น 4,383 คน ครอบคลุมระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประกอบด้วยเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ และเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย "เรียนดี" ของ กทม. ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษา

ขณะเดียวกัน เพื่อให้การศึกษาพิเศษมีคุณภาพและได้มาตรฐาน สนศ. กำหนดให้โรงเรียนดำเนินงานตามเกณฑ์ของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) โดยเฉพาะมาตรฐานที่ 4 ด้านกระบวนการจัดการศึกษาพิเศษ (เรียนร่วม) ซึ่งกำหนดให้จัดทำแผน โครงการ และกิจกรรม เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนร่วมอย่างต่อเนื่อง กำกับ ติดตาม และตรวจสอบ การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติงานประจำปี สรุปผลการประเมินและแจ้งผลให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแก้ไขและป้องกันข้อบกพร่องที่อาจเกิดขึ้น โดยโรงเรียนในสังกัด กทม. ใช้กระบวนการคัดกรองนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษผ่านแบบประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของเด็ก (Strengths and Difficulties Questionnaire: SDQ) และแบบคัดกรองเด็กพิการ 9 ประเภทของกระทรวงศึกษาธิการ (สพฐ.) โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานทางการแพทย์ เช่น สำนักอนามัย หรือโรงพยาบาล เพื่อให้ความรู้ คัดกรอง ให้คำปรึกษา และติดตามพัฒนาการของเด็กอย่างเป็นระบบ รวมถึงการปรับพฤติกรรมและการส่งต่อเพื่อเข้ารับการรักษา นอกจากนี้ โรงเรียนสังกัด กทม. ยังมีการจัดชั้นเรียนร่วมแบบเต็มเวลา เพื่อให้นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษได้เรียนร่วมในทุกระดับชั้น ร่วมมือกับผู้ปกครองและผู้ที่เกี่ยวข้องในการวางแผนการพัฒนาเด็กเป็นรายบุคคล รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษเข้าร่วมกิจกรรมทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน การดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้โรงเรียนสังกัด กทม. สามารถพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครูสามารถออกแบบการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนและความต้องการของหลักสูตร มีระบบติดตามและช่วยเหลือนักเรียนเป็นรายบุคคล เพื่อให้เด็กมีทักษะและความพร้อมสำหรับการเรียนร่วมกับนักเรียนทั่วไป อีกทั้งนักเรียนที่จบการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ยังสามารถเข้าศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในโรงเรียนอื่นได้ รวมทั้งมีการต่อยอดการพัฒนาการศึกษาพิเศษให้มีความต่อเนื่อง โดยยึดบริบทของเด็กเป็นสำคัญ เช่น แผนบริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัวของเด็ก แผนการงานอาชีพเฉพาะผู้เรียนรายบุคคล และแผนการดำเนินชีวิตตามศักยภาพของแต่ละคนเพื่อการส่งต่อ เป็นต้น

นางสาวอรัญญา พรไชยะ หัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร (สกก.) กล่าวว่า กทม. มีนโยบายส่งเสริมการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานราชการ โดยเปิดโอกาสให้คนพิการทุกประเภทที่มีความรู้ ความสามารถ และเหมาะสมกับลักษณะงานของ กทม. ได้มีโอกาสเข้าทำงานมากขึ้น เพื่อเพิ่มทางเลือกในการประกอบอาชีพ สร้างรายได้ที่มั่นคง สามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้อย่างมีคุรภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 สำนักงาน กก. ได้เปิดรับสมัครคัดเลือกคนพิการเข้ารับราชการเป็นข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญเป็นครั้งแรก โดยเปิดรับสมัคร 4 ตำแหน่ง รวม 11 อัตรา ได้แก่ เจ้าพนักงานการเงินและบัญชีปฏิบัติงาน จ้าพนักงานธุรการปฏิบัติงาน นักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ และนักวิชาการพัสดุปฏิบัติการ โดยมีผู้ผ่านการคัดเลือก จำนวน 9 คน ต่อมาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ได้เปิดรับสมัครอีกครั้ง จำนวน 4 ตำแหน่ง รวม 17 อัตรา ได้แก่ เจ้าพนักงานการเงินและบัญชีปฏิบัติงาน เจ้าพนักงานธุรการปฏิบัติงาน เจ้าพนักงานพัสดุปฏิบัติงาน และเจ้าพนักงานสถิติปฏิบัติงาน ซึ่งมีผู้ผ่านการคัดเลือก จำนวน 12 คน

นอกจากนี้ สำนักงาน ก.ก. ยังเปิดโอกาสให้คนพิการสามารถสมัครเข้ารับราชการผ่านช่องทางอื่น ๆ เช่น การสอบแข่งขันและการคัดเลือกฯ กรณีพิเศษ พร้อมทั้งจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในการสอบ อาทิ จัดที่นั่งสอบชั้นล่าง ล่ามภาษามือ ผู้ช่วยอ่านข้อสอบ ผู้ระบายคำตอบ ข้อสอบที่มีอักษรตัวโต โปรแกรมอ่านจอภาพคอมพิวเตอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาพิเศษ และผู้ดูแลคนพิการด้านออทิสติก เป็นต้น

ฝากข่าวประชาสัมพันธ์?

ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit