พญ.สุภณิดา กว้างสุขสถิตย์ เป็นแพทย์ผิวหนังเพียงหนึ่งเดียวของโรงพยาบาล ซึ่งในปี 2563 ได้รับเกียรติจากสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ให้เป็นแพทย์ผิวหนังรุ่นใหม่โดดเด่นประจำปี พ.ศ. 2563 หลังจากที่ทำงานโรงพยาบาลอุดรธานี มากว่า 15 ปี
พญ.สุภณิดา กล่าวว่า รางวัลที่ได้รับรู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติที่ได้รับรางวัลนี้ ในมุมมองคนภายนอกอาจจะรู้สึกว่าแพทย์ผิวหนังเป็นงานที่สบาย เกี่ยวกับความสวยความงาม รายได้ดี แต่จริง ๆ แล้วในต่างจังหวัดยังมีคนไข้โรคผิวหนังอีกจำนวนมาก ที่ต้องการการรักษาจากเรา รวมถึงเรายังเป็นที่ต้องการจากเพื่อนแพทย์สาขาอื่น ๆ ให้มาช่วยดูผื่นเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยโรค และทักษะการมองที่เราฝึกจนเก่ง เปลี่ยนเป็นการมีวิสัยทัศน์มุมมองแบบภาพรวม การคิดจากผลไปหาเหตุ เรายังสามารถช่วยองค์กรได้อีกหลาย ๆ ด้าน ขอบคุณสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยที่มอบรางวัลนี้ให้เป็นกำลังใจกับแพทย์ผิวหนังที่ยังอยู่ในระบบรัฐบาลและทำประโยชน์ให้กับประชาชนรวมถึงเป็นกำลังใจให้กับน้อง ๆ แพทย์ผิวหนังรุ่นใหม่ด้วยค่ะ
สำหรับ พญ.สุภณิดา นั้นไม่ใช่คนอุดรธานีโดยกำเนิด แต่เริ่มต้นศึกษาที่กรุงเทพฯ ที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กรุงเทพฯ แล้วมาต่อชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาโดยเรียนสายวิทยาศาสตร์ ซึ่งสมัยนั้นอยู่ในยุคของ GEN X นักเรียนส่วนใหญ่มักจะมุ่งเรียนเป็นแพทย์ หรือไม่ก็วิศวกร เป็นธรรมดาตามสมัยนิยม หมอสุภณิดาจบการศึกษาคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อจบแล้วมาใช้ทุนที่โรงพยาบาลอุดรธานี 1 ปี โรงพยาบาลน้ำโสม 2 ปี หลังจากใช้ทุนครบ จึงไปศึกษาต่อแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังที่สถาบันโรคผิวหนัง โดยใช้ทุนของโรงพยาบาลอุดรธานี หลังจากนั้นก็กลับมาทำงานที่โรงพยาบาลอุดรธานี เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
พญ.สุภณิดา กล่าวว่า การทำงานเป็นแพทย์ผิวหนังที่จังหวัดอุดรธานีนั้น เนื่องจากแพทย์ผิวหนังในต่างจังหวัด ยังมีจำนวนน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับจำนวนคนไข้ที่รอคอยรักษาค่อนข้างเยอะ ทำให้งานของเราที่ทำค่อนข้างหนัก ดังนั้นเราต้องมีพลังความคิดบวก ก็เป็นอีกส่วนที่ช่วยให้เราสามารถอยู่ในระบบราชการต่อได้ ในบางครั้งเวลามีงานที่เราไม่อยากทำเข้ามา เราก็พยายามปรับความคิด มองหาสิ่งที่ดีในงานนั้น ทำให้เราสบายใจและสนุกกับงานต่อไป ช่วงปัจจุบันคือ 4-5 ปีหลังนี้ขอเรียกว่าเป็นช่วงแห่งการฝึกฝนอดทนและพัฒนาตนเอง เป็นช่วงที่งานเยอะมาก ทั้งด้านงานบริการ เนื่องจากเราเป็นแพทย์ผิวหนังคนเดียวในโรงพยาบาลก็รับหมดออก OPD ทุกวันวันละ 40-50 ราย รับเป็นที่ปรึกษาด้านผิวหนังทั้งโรงพยาบาล รวมผิวหนังเด็กด้วย การทำหัตถการเอง การวิเคราะห์ตรวจชิ้นเนื้อ (biopsy) เอง ด้านงานการเรียนการสอนก็ต้องสอน lecture, OPD teaching, Consultation round ร่วมกิจกรรมวิชาการต่าง ๆ ส่วนงานบริหาร ช่วงหลัง ๆ แทบจะเป็นงานหลักพอ ๆ กับงานบริการไปแล้ว เนื่องจากทำงานเกี่ยวกับ HA มาตลอด (ซึ่งเป็นงานที่ไม่ค่อยมีใครอยากทำ) ทำให้ได้รับการส่งเสริมจากโรงพยาบาลให้ไปเรียนทางด้านนี้เต็มที่ จนปัจจุบันเค้าเรียกว่าเป็นเจ้าแม่ HA ไปแล้ว
โดยปัจจุบันรับตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านพัฒนาคุณภาพ เลขานุการทีมนำโรงพยาบาลอุดรธานี และเลขานุการทีมความเสี่ยงโรงพยาบาล โดยโรงพยาบาลอุดรธานีมีจำนวน 1,022 เตียง ได้รับการพัฒนาเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายในเขตภาคอีสานตอนบน สำนักงานเขตสุขภาพที่ 8 ประกอบด้วย 7 จังหวัด คือ หนองคาย เลย นครพนม สกลนคร หนองบัวลำภู บึงกาฬ และอุดรธานี เรียกว่ามีขนาดค่อนข้างใหญ่ งานที่ต้องทำคือ ต้องทำให้โรงพยาบาลได้รับการรับรอง HA (Hospital Accreditation) และสูงกว่าระดับ HA คือ advance HA ให้ได้ ซึ่งที่ผ่านมามีโรงพยาบาลได้รับการรับรองในระดับนี้ไม่ถึง 10 แห่งทั่วประเทศ จึงมีการประชุมบ่อยมาก รู้สึกว่าทำงานเพิ่มมากกว่าปกติ 200% (แต่เงินเดือนเท่าเดิม) เหนื่อยมาก แต่โชคดีได้ทำงานกับผู้นำที่ดี ที่คอยสนับสนุนส่งเสริมเราตลอด และทีมงานที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ความเหนื่อยเปลี่ยนเป็นความท้าทาย และรู้สึกว่าตัวเรามีคุณค่าต่อองค์กร และจริง ๆ ถ้ามองให้ลึกลงไป มันคือการพัฒนาตนเองและฝึกทักษะหลาย ๆ อย่าง เช่น ทักษะการแบ่งเวลา ทักษะการสื่อสาร การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ การทำงานร่วมกับคนอื่น การเห็นอกเห็นใจ การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ การฝึกความอดทน การคิดบวก ซึ่งทั้งหมดเป็น Soft Skill ซึ่งมักจะต้องอาศัยการลงมือทำเป็นหลัก การเข้าสังคม รวมทั้งการสื่อสารมีปฏิสัมพันธ์กับคนจึงจะเกิดทักษะนี้ขึ้นมา ซึ่งต้องขอบคุณโรงพยาบาลที่ให้เราได้มีโอกาสฝึกฝนทักษะพวกนี้อย่างเต็มที่
"ต้องบอกว่าหมอผิวหนังในต่างจังหวัด เป็นที่ต้องการมากและยังขาดแคลนมากในโรงพยาบาลภาครัฐ อยากฝากให้แพทย์ที่มีโอกาสได้มาทำงานในต่างจังหวัด ถ้าเราสามารถปรับตัวอยู่ได้ เราจะมีโอกาสได้ทำประโยชน์ให้กับคนไข้ในทุกวัน เราสามารถเรียนรู้ได้เยอะและมีโอกาสได้ฝึกฝนตนเองในด้านต่าง ๆ รวมถึงได้ทำงานร่วมกับผู้อื่น นอกจากงานผิวหนัง ถ้าเราคิดอยากจะเข้าไปช่วยส่วนรวมแล้ว ยังมีงานที่ท้าทายอย่างอื่นมากมาย การที่เราได้ทำอะไรหลายอย่าง ก็จะทำให้เราสามารถพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้น" พญ.สุภณิดา กล่าว