นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า สถานการณ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ
(สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) ในเดือนพฤษภาคม 2563 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดือนเมษายน 2563 มากนัก ถึงแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2สำนักงานเศรษฐกิจการคลังสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์9 (COVID – สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์9) จะได้ลดความรุนแรงลงไปบ้างแล้วก็ตาม โดยในเดือนพฤษภาคม 2563 มีจำนวนผู้สนใจยื่นขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิ สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์,สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์99 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2563 จำนวน 5 ราย ประกอบด้วย ผู้ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์สุทธิ (มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 5สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง,สำนักงานเศรษฐกิจการคลังสำนักงานเศรษฐกิจการคลังสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กำไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective rate)) จำนวน สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์,สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง42 ราย และผู้ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสสุทธิ (มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์สำนักงานเศรษฐกิจการคลังสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง,สำนักงานเศรษฐกิจการคลังสำนักงานเศรษฐกิจการคลังสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กำไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 36 ปี (Effective rate) สำหรับวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง,สำนักงานเศรษฐกิจการคลังสำนักงานเศรษฐกิจการคลังสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง บาทแรก และสำหรับวงเงินสินเชื่อที่เกินกว่า 5สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง,สำนักงานเศรษฐกิจการคลังสำนักงานเศรษฐกิจการคลังสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง บาทเป็นต้นไป ให้เรียกเก็บได้ไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี (Effective rate)) จำนวน สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์57 ราย และมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 จนถึง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2563 มีนิติบุคคล ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อทั้งประเภทพิโกไฟแนนซ์และประเภทพิโกพลัสรวมจำนวนทั้งสิ้น 1,335 ราย ใน 76 จังหวัด (จังหวัดที่ยังไม่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อ ได้แก่ จังหวัดอ่างทอง) โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (112 ราย) กรุงเทพมหานคร (109 ราย) และขอนแก่น (66 ราย) ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวมีจำนวนนิติบุคคลที่แจ้งคืนคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์รวมทั้งสิ้น 136 ราย ใน 53 จังหวัด จึงคงเหลือจำนวนนิติบุคคลที่ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภทสุทธิ 1,199 ราย ใน 75 จังหวัด และมีจำนวนผู้ที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภทสุทธิ 891 ราย ใน 73 จังหวัด (ขอคืนใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์จำนวน 21 ราย และขอเปลี่ยนใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์เป็นประเภทพิโกพลัส จำนวน 46 ราย) ทั้งนี้ มีจำนวนผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภท ที่แจ้งเปิดดำเนินการแล้ว 749 ราย ใน 71 จังหวัด และมีรายละเอียด ดังนี้
(1) สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ มีจำนวนผู้ยื่นคำขออนุญาตสุทธิทั้งสิ้น 1,042 ราย ใน 75 จังหวัด (เพิ่มขึ้น 5 ราย จากเดือนเมษายน 2563) โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (96 ราย) นครราชสีมา (94 ราย) และขอนแก่น (62 ราย) ตามลำดับ มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์สุทธิทั้งสิ้น 815 ราย ใน 73 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 699 ราย ใน 71 จังหวัด (ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคม 2563 มีจำนวนผู้เปิดดำเนินการให้บริการสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ที่เปลี่ยนเป็นการให้บริการสินเชื่อประเภทพิโกพลัส จำนวน 2 ราย)
(2) สินเชื่อประเภทพิโกพลัส มีจำนวนผู้ยื่นคำขออนุญาตสุทธิทั้งสิ้น 157 ราย ใน 54 จังหวัด ประกอบด้วยนิติบุคคลที่เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์เดิมและเปิดดำเนินการแล้วมายื่นขอเปลี่ยนใบคำขออนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสจำนวน 83 ราย ใน 38 จังหวัด และเป็นนิติบุคคลที่ยื่นคำขออนุญาตใหม่จำนวน 74 ราย ใน 29 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (18 ราย) กรุงเทพมหานคร (13 ราย) และอุบลราชธานี (10 ราย) และมีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัส 76 ราย ใน 29 จังหวัด (เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2563 จำนวน 3 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก ราชบุรี และนครศรีธรรมราช) และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 50 ราย ใน 25 จังหวัด (เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2563 จำนวน 5 จังหวัด ได้แก่ ราชบุรี กาฬสินธุ์ นครพนม มุกดาหาร และนครศรีธรรมราช)
(3) ยอดสินเชื่ออนุมัติสะสมและยอดสินเชื่อคงค้างสะสม
(3.1) ณ สิ้นเดือนเมษายน 2563 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสมจำนวน 254,890 บัญชี รวมเป็นจำนวนเงิน 6,745.02 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ยจำนวน 26,462.47 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกันจำนวน 125,773 บัญชี เป็นจำนวนเงิน 3,589.15 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 53.21ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันจำนวน 129,117 บัญชี เป็นจำนวนเงิน 3,155.87 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 46.79 ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม เพิ่มขึ้นจากยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 เพียงร้อยละ 2.35 ซึ่งเหตุผลหลักอาจเนื่องมาจากผู้ประกอบการยังคงมีความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อเพื่อลดความเสี่ยงของการเพิ่มขึ้นของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม
(3.2) ณ สิ้นเดือนเมษายน 2563 มียอดสินเชื่อคงค้างสะสมรวมจำนวนทั้งสิ้น 105,689 บัญชี
คิดเป็นจำนวนเงิน 2,591.32 ล้านบาท โดยมีสินเชื่อค้างชำระ 1 - 3 เดือน สะสมรวมจำนวน 15,708 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 394.61 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 15.23 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม และมีสินเชื่อค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) สะสมรวมจำนวน 14,928 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 399.44 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 15.41 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม เพิ่มขึ้นจากยอดสะสม ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 ที่มียอด NPL อยู่ที่ร้อยละ 13.06
การดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมาย ในเดือนพฤษภาคม 2563 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) เพื่อปราบปรามและดำเนินคดีในเชิงรุกอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่มีพฤติการณ์ให้ประชาชนกู้ยืมเงินโดยผิดกฎหมาย เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด การทวงถามหนี้โดยผิดกฎหมาย การกู้ยืมเงินที่มีลักษณะฉ้อโกงประชาชน สำหรับผลการดำเนินการจับกุมเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทำความผิดของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 จนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2563 มีจำนวนสะสมรวมทั้งสิ้น 5,512 คน
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องใน 5 มิติ ได้แก่ (1) ดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย (2) เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ (3) ลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย (4) เพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ และ (5) สนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบโดยองค์กรการเงินชุมชน ซึ่งประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดำเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่
- สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1599
- ศปน.ตร. โทร. 0 2255 1898
- ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สายด่วน 1155
- ศูนย์ดำรงธรรม สายด่วน 1567
- ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359
- ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนธ.ยธ.)
โทร. 0 2575 3344
โดยมีรายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบ
สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
โทร. สายด่วน 1359
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) มีผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 917 ราย ใน 74 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (543 ราย) รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง (147 ราย) ภาคเหนือ (115 ราย) ภาคตะวันออก (64 ราย) และภาคใต้ (48 ราย)